
ส.อ.ท.วิตกคลัสเตอร์โรงงานลามต่อเนื่องหากขยายวงถึงกลางเดือน ส.ค. อาจกระทบวงจรการผลิตชะงักงัน ทำให้กระทบสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการอาจขาดแคลนในประเทศและกระทบส่งออกได้
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.มีความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังมีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน ยังคงอยู่ในระดับสูงเฉลี่ย 15,000 คน และมีการพบคลัสเตอร์ใหม่ๆ ในโรงงานมากขึ้นต่อเนื่อง หากสถานการณ์ ดังกล่าวไม่คลี่คลายและขยายวงกว้างไปจนถึงกลางเดือน ส.ค.นี้ อาจส่งผลให้ประเทศไทยมีโอกาสเผชิญกับภาวะวงจรการผลิตภาคอุตสาหกรรมอาจหยุดชะงัก (Supply Side Disruptions) และนำมาซึ่งการขาดแคลนสินค้าอุปโภคและบริโภคภายในประเทศบางรายการได้ และจะสะท้อนไปถึงผลกระทบต่อภาคการส่งออกตามมา
“โควิด-19 รอบที่ 1 และ 2 ทั่วโลก มีปัญหาขาดแคลนสินค้า แต่ประเทศไทยไม่เป็นปัญหา แต่ขณะนี้ไทยเผชิญกับปัญหาเฉพาะ ในเรื่องของอุปสงค์หรือการบริโภค (Demand Side) ที่ลดต่ำลง และเมื่อการระบาดโควิดรอบ 3 ที่รุนแรงต่อเนื่อง และเกิดคลัสเตอร์โรงงานใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่น โรงงานแปรรูปไก่ โรงงานอุปกรณ์สเตนเลส โรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ จนส่งผลกระทบการผลิต”
ดังนั้น หากปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลามไปเรื่อยๆก็จะกระทบเป็นลูกโซ่ ส.อ.ท.กังวลว่าจะทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาการผลิตได้ซึ่งแม้ว่าเอกชนส่วนใหญ่ต่างก็มีมาตรการป้องกันดูแลอย่างเข้มแข็ง แต่หากภาพรวมมีการติดเชื้อสูงทำให้การเล็ดลอดสู่โรงงานย่อมมีสูงตามมาด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการล็อกดาวน์ที่ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 2 ส.ค.นี้ รวม 13 จังหวัด แม้ว่ายังไม่ได้กระทบต่อการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยอมรับว่าทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และมีปัญหาในเรื่องของระบบขนส่งที่อาจล่าช้า รวมถึงการขนแรงงานข้ามจังหวัด เช่น กรณีจังหวัดฉะเชิงเทรา มีแรงงานจากพื้นที่อื่นต้องเดินทางข้ามมาทำงาน 40,000 คน หลังจากที่มีการติดเชื้อในโรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ ทำให้จังหวัดมีการคุมเข้มไม่ให้เดินทางไปมาในฉะเชิงเทรา ล่าสุด ส.อ.ท.จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็ได้มีการหารือกับ ส.อ.ท.อย่างใกล้ชิด เพื่อขอให้ผู้บริหารจังหวัดฉะเชิงเทราผ่อนปรนมาตรการ โดยมีเงื่อนไขว่าหากมีการพบว่าติดเชื้อ 10% ของพนักงานในโรงงานใดโรงงานแห่งนั้น จะต้องหยุดการผลิตชั่วคราวทันที เป็นต้น
“หากถามว่า รัฐบาลควรขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ใน 13 จังหวัดต่อไปอีกหรือไม่ ผมเชื่อว่าภาคเอกชนและประชาชนที่หาเช้ากินค่ำส่วนใหญ่ของประเทศไทยคงไม่มีใครอยากให้ดำเนินการต่อ เพราะทุกภาคส่วนจะได้รับผลกระทบเพิ่มอีกแน่นอน จากที่บอบช้ำมากอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ในข้อเท็จจริงการตัดสินใจ จะขยายเวลาล็อกดาวน์หรือไม่ ต้องพิจารณาในมุมด้านสาธารณสุขว่าพร้อมหรือยัง เพราะหากบุคลากรทางการแพทย์และด้านสาธารณสุขรับไม่ไหว เตียงไม่เพียงพอ แม้ว่าประเทศไทยจะเลิกมาตรการล็อกดาวน์แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ต้องหยุดไม่ต่างจากล็อกดาวน์”
ขณะเดียวกัน ส.อ.ท.ขอให้รัฐบาลจะต้องตั้งสมาธิในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ให้มากโดยมุ่งเน้นใน 2 เรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไปคือ 1.ต้องเร่งหาวัคซีนระดมฉีดให้กับประชาชน และเป็นวัคซีนที่สามารถรับมือกับสายพันธุ์ไวรัสใหม่ล่าสุดด้วย และ 2.ต้องตรวจเชิงรุกคัดแยกผู้ติดเชื้อออกมา เพื่อนำไปสู่การรักษาโดยเร็วโดยส่งเสริมให้ประชาชนใช้ชุดตรวจโควิด-19 เร่งด่วน (Rapid Antigen Test kit)
สำหรับมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ ล่าสุดที่รัฐบาลดำเนินการถือเป็นมาตรการที่ดีในการประคองเศรษฐกิจ แต่ระยะต่อไปจำเป็นต้องเตรียมเงินไว้เพื่อดูแลเพิ่มเติม และการฟื้นฟูเพื่ออัดลงระบบเศรษฐกิจ ต่อเนื่องที่เห็นว่าจำเป็นต้องใช้เงินอีก 1 ล้านล้านบาท ตนเห็นว่าในข้อ 1-2 มีความจำเป็นมากที่สุด เพราะหากควบคุมไม่ได้ การดูแลเศรษฐกิจก็ทำได้ เพียงประคับประคอง แต่ไม่ สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้.