ธนันธร มหาพรประจักษ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา จีนเพิ่งจัดงานฉลองครบรอบ 100 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยจีนได้ประสบความสำเร็จในการสร้าง “สังคมมีกินมีใช้” อย่างรอบด้าน และประกาศชัยชนะเหนือความยากจนในปีก่อน แม้จะเจอกับวิกฤติโควิด บางขุนพรหมชวนคิดในวันนี้จึงขอใช้โอกาสนี้พูดถึงประเด็นนี้และนโยบายที่จีนกำลังดำเนินต่อไปค่ะ
การแก้ปัญหาความยากจนของจีนเป็นหนึ่งในตัวอย่างของประเทศอื่น โดยจีนเน้นแก้จนผ่านการกระจายความช่วยเหลือ ให้การดูแลที่ลดความยากจน และเพิ่มการพัฒนา เน้นแก้จนอย่างยั่งยืนด้วยการแก้ไขและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการดำรงชีพ นับตั้งแต่ปี 2556 หรือกว่า 8 ปีที่จีนใช้นโยบายนี้ก็บรรลุเป้าหมาย ช่วยให้ประชากรที่ยากไร้ในเขตชนบท (รายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อคนต่อปี) กว่า 100 ล้านคน พ้นจากความยากจน ผ่าน “ความ หมดห่วงสองประการ และสามหลักประกัน” ไม่ต้องห่วง 1) เรื่องอาหารการกิน 2) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงมีหลักประกัน 1) การศึกษาภาคบังคับ 2) การรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน และ 3) ความปลอดภัยด้านที่อยู่อาศัย
นักวิชาการจากต่างประเทศสรุปว่า หลักความสำเร็จในการแก้ความยากจนในจีน คือ “5Ds” คือ D1:ผู้นำที่มุ่งมั่น (Determined Leadership) D2:แผนการ ชัดเจนและแจกแจงรายละเอียด (Detailed Blueprint) D3:เน้นการพัฒนา (Development Oriented) ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับการศึกษา D4:การกำกับดูแลที่อิงข้อมูล (Data-based Governance) ผ่านการบูรณาการหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน D5:การกระจายอำนาจ (Decentralized Delivery) ทำงานและช่วยแก้ไขปัญหาจนถึงระยะสุดท้าย ด้วยหลักการแก้ปัญหานี้ จีนได้บรรลุเป้าหมายการลดความยากจนภายใต้การพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573 ของสหประชาชาติก่อนกำหนดถึง 10 ปี
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่มาพร้อมกับเศรษฐกิจที่พัฒนา คือสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กลายมาเป็นความท้าทายของจีน จากรายงานด้านสุขภาพแห่งชาติของจีนพบว่า ในปี 2563 คนจีนอายุ 18 ปีขึ้นไปมากกว่าครึ่ง มีภาวะน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วน ขณะที่เด็กจีน เด็กอายุ 6-17 ปี มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนถึงเกือบ 20% ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี อยู่ที่ 10% หากนับทุกกลุ่มอายุรวมกัน ประชากรจีนที่เผชิญภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมีกว่า 600 ล้านคน มากกว่าประชากรสหรัฐฯ ทั้งประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้พยายามแก้ปัญหาสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นนโยบายผ่านสถานศึกษา เช่น การปรุงอาหารให้ถูกหลักตามโภชนาการ เพิ่มการออกกำลังกายให้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดก่อนจบการศึกษา แต่อาจจะไม่สัมฤทธิผลตามที่หวังไว้
นอกจากนี้ จีนให้ความสำคัญมากขึ้นกับสุขภาพของผู้สูงอายุเช่นกัน เนื่องจากประชากรของจีนมากถึง 1,400 ล้านคน กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ในปี 2563 สัดส่วนของผู้สูงอายุจีน (อายุ 65 ปีขึ้นไป) คาดว่าจะเพิ่มเป็น 16.9% ภายในปี 2573 และเมื่อมีผู้สูงอายุมากขึ้น ค่าใช้จ่าย ด้านสุขภาพย่อมเพิ่มขึ้นตามตัว ปี 2559 จีนได้กำหนดนโยบาย “Healthy China 2030” เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาสุขภาพของประชากรจีนให้มีสุขภาพดีและพัฒนาระบบสาธารณสุขและสถานพยาบาลให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาตัวยาที่มีคุณภาพร่วมกับบริษัทต่างชาติและให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบ Big Data และระบบ Telemedicine เพื่อช่วยให้การแพทย์ของจีนพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นโยบายของจีนที่เน้นเรื่องสุขภาพและสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจ Healthcare เช่น บริษัทผู้ผลิตยาบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพโรงพยาบาลผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ และ Telemedicine เป็นกิจการที่ได้รับประโยชน์และเป็นโอกาสของธุรกิจไทยที่มีศักยภาพที่จะขยายธุรกิจหรือรุกตลาดจีนค่ะ.