ก่อหนี้เพิ่ม 2.2 แสนล้านบาท ปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 2 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เสนอ รวมมีการก่อหนี้เพิ่ม 229,881 ล้านบาท โดยมีการปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้น 107,298.96 ล้านบาท ส่งให้แผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลในปี 2564 เพิ่มขึ้นจากเดิม 1,539,832.28 ล้านบาท เป็น 1,647,131.74 ล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลมีรายการกู้เงินในประเทศ เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2564 เพิ่มขึ้น 127,000 ล้านบาทเพราะการจัดเก็บรายได้ลดลง ขณะที่ลดสัดส่วนการกู้เงินที่รัฐบาลกู้มา เพื่อปล่อยกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ลดลง 19,300 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการที่ รฟท.ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามแผนที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ ได้ปรับแผนการบริหารหนี้เดิมเพิ่มขึ้น 122,583 ล้านบาท จากเดิมปรับปรุงครั้งที่ 1 อยู่ที่ 1,403,981 ล้านบาท เป็น 1,526,564 ล้านบาท โดยปรับเพิ่มขึ้นในส่วนของรัฐบาล 113,000 ล้านบาท และเพิ่มในส่วนของการก่อหนี้ของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 8,600 ล้านบาท เป็นการปรับเพิ่มวงเงินในการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ 2565-2567 เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น 115,000 ล้านบาทจากเดิม 180,000 ล้านบาท เป็น 295,000 ล้านบาท ขณะที่แผนการชำระหนี้ของรัฐบาลในปีนี้ยังคงอยู่ที่ 387,860 ล้านบาท ส่วนแผนการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการอื่นๆของรัฐวิสาหกิจที่มานับรวมเป็นหนี้สาธารณะมีการปรับเพิ่มขึ้น เช่นการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ขอปรับเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาท เป็นต้น

สบน.ได้รายงาน ว่าแผนการบริหารหนี้สาธารณะที่ปรับปรุงครั้งนี้ อยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระรากำหนดกู้เงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ในปี 2564 กระทรวงการคลังจะกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ตาม พ.ร.ก.โควิด-19 จำนวน 626,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับการกู้เงินส่วนดังกล่าวในปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 373,000 ล้านบาท การกู้เงินส่วนนี้ยังอยู่ในกรอบเงินกู้โควิด-19 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ขณะที่ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่กำหนดสัดส่วนต่างๆไว้นั้น หลังจากการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะใหม่ครั้งนี้ ยังถือว่าอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 57.94%.