รัฐบาลจ่อออกมาตรการช่วยเอสเอ็มอีเพิ่ม เตรียมเงินกู้โควิด-19 วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท ช่วยจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างในธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวน 3 เดือน ในอีก 2 เดือนข้างหน้า เน้นเฉพาะที่อยู่ในระบบประกันสังคม เพราะตรวจสอบได้ว่าประกอบการจริง ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่ได้ประกันสังคมให้เข้าระบบโดยด่วนรอบต่อไปถึงคิวผู้ค้ารายย่อย-ร้านอาหาร ออกมาตรการทางการเงินช่วยเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่ารัฐบาลได้เตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ในระยะต่อไป เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน ในช่วงอีก 2 เดือนข้างหน้า โดยได้เตรียมวงเงินไว้ประมาณ 60,000 ล้านบาท จากเงินกู้โควิด-19 ก้อนใหม่ ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 วงเงิน 500,000 ล้านบาท เพื่อร่วมจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้าง หรือโค-เพย์เมนต์ (Co-payment) โดยมีข้อกำหนดเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่นำลูกจ้างเข้ามาอยู่ในระบบประกันสังคม และยื่นภาษีเงินได้ หรือเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อให้เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่อยู่ในระบบ ส่วนผู้ประกอบการและแรงงานที่อยู่นอกระบบประกันสังคมในขณะนี้ ให้เร่งประชาสัมพันธ์จูงใจ ให้รีบเข้าสู่ระบบประกันสังคม เนื่องจากการออกมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐจำเป็นต้องใช้ระบบประกันสังคมมาอ้างอิงว่ามีการประกอบอาชีพที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม การให้ความช่วยเหลือจะต้องจำกัดการช่วยเหลือให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และมีแนวโน้มที่สามารถที่จะไปต่อได้หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ไม่ใช่มีผู้ประกอบการที่มีปัญหาการทำธุรกิจมาก่อนที่จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 ขณะเดียวกัน จะมีการจัดทำมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม สำหรับช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อย ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้ประกอบการในสาขาบริการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 (ศบศ.) ในระยะต่อไปโดยเร็วด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการหารือระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กับตัวแทนภาคเอกชน ได้แก่ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ช่วงสัปดาห์ก่อนได้มีข้อเสนอให้กับภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ประกอบการหลายข้อ รวมทั้งโครงการ Co-Payment ค่าจ้างแรงงาน โดยขอให้ภาครัฐช่วยจ่ายค่าแรง เงินเดือน ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน และสนับสนุนการจ่ายเงินจำนวนนี้เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยภาคเอกชนเห็นด้วยกับการให้การสนับสนุนเอสเอ็มอีที่จดทะเบียนกับหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น ช่วยเหลือแรงงานที่ขึ้นกับสำนักงานประกันสังคมเท่านั้น และเป็นสถานประกอบการที่ชำระภาษีที่ถูกต้อง
ในการประชุมดังกล่าว ภาคเอกชนยังมีข้อเสนอในเรื่องของมาตรการคนละครึ่ง-ภาคเอสเอ็มอี โดยให้ภาครัฐช่วยค่าใช้จ่ายเอสเอ็มอี เช่น ลดค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 50% โดยให้ภาคเอกชนจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.5% และภาครัฐรับภาระที่เหลือ 50% โดยภาครัฐไม่จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณ เนื่องจากสามารถหักลบยอดค่าใช้จ่ายได้เลย โดยมาตรการนี้จะสามารถผลักดันเอสเอ็มอีเข้าระบบเพิ่มเติมได้เพิ่มมากขึ้น และขอให้ภาครัฐช่วยพิจารณามาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เช่น ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายประกันสังคม ค่าเช่าสถานที่ ค่าเช่าโรงงาน
นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังเสนอให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย ได้แก่ การสร้างห้องทดสอบ ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ในการพัฒนากิจกรรมด้านต่างๆ ของธุรกิจ เช่น การขอมาตรฐานการตรวจสารปนเปื้อนโควิด-19 ค่าบริการตรวจสอบอาคารวิศวกรรมสถาน ค่าธรรมเนียมในการขอปรับเปลี่ยนขนาดบรรจุภัณฑ์จากองค์การอาหารและยา รวมทั้งค่าอบรมบุคลากรและการให้คำปรึกษาองค์กร เช่น ด้านเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ การบริหารจัดการธุรกิจ ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น ค่าแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ และค่าจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ด้วย.