เส้นทางชีวิต "ราชาขยะเมืองไทย" สู่เจ้าของธุรกิจจัดการขยะ ช่วยสร้างรายได้มหาศาล

ธุรกิจที่อยู่เหนือทุกวิกฤติ พารู้จัก "ราชาขยะเมืองไทย" จุดเริ่มต้นจากการโดนดูถูก จนพิสูจน์ตัวเองเป็นเจ้าของ "ธุรกิจจัดการขยะ" ที่มีเกือบ 2,000 สาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ

วันที่ 31 มีนาคม 2564 รายการ "เศรษฐีป้ายแดง" ทางช่องไทยรัฐทีวี 32 พาไปพูดคุยกับ ดร.สมไทย วงษ์เจริญ เจ้าของธุรกิจจัดการขยะวงษ์พาณิชย์ ผู้ที่ร่ำรวยจากการขายขยะในเมืองไทย มีบริษัทรีไซเคิลและจัดการขยะที่ครบวงจรเกือบ 2,000 สาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ

ดร.สมไทย เผยว่า เส้นทางธุรกิจจัดการขยะนั้น เริ่มต้นจากขยะจากต้นทางที่มาจากบ้านเรือน, สำนักงาน, ร้านค้า และห้างสรรพสินค้า เมื่อเก็บรวบรวมเข้าสู่ระบบแล้ว จากนั้นก็คัดแยกแล้วนำมาเข้าสู่กระบวนการจัดการ โดยในหนึ่งปีขวดน้ำถูกทิ้งจำนวน 386,000 ตันต่อปี ซึ่งฝาขวดน้ำยังสามารถนำไปทำเป็นโต๊ะเก้าอี้ ส่วนขวด PET สามารถนำไปทำเป็นเสื้อเด็กนักเรียนได้ ขณะนี้มีสาขาอยู่ที่ประเทศไทยและต่างประเทศรวมแล้ว 1,912 สาขา

สมัยก่อนตอนอายุ 15 ปี เรียนหนังสือแล้วงง เรียนแค่ มศ.3 เลยออกจากโรงเรียน จนโดนคนมองว่าเราเป็นพวกนอกคอก ตอนออกจากโรงเรียนก็มาทำหลายอาชีพต่างๆ ทั้งขายลอตเตอรี่, ขายหนังสือพิมพ์, ขายเสื้อผ้า รวมๆ ทำมาแล้วกว่า 100 อาชีพ ณ ตอนนั้นได้ความสำเร็จในเรื่องการหาเช้ากินค่ำ

กระทั่งวันหนึ่งได้เดินทางไปขอพรพระพุทธชินราช บอกขอให้สำเร็จดั่งใจปรารถนา จากนั้นได้เจอคุณป้าเก็บขยะคนหนึ่ง เค้าบอกเราว่า รู้ไหมว่าขยะพวกนี้เป็นของมีค่าสามารถสร้างมูลค่าได้ จนเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มธุรกิจนี้ ตอนนั้นมีเงินอยู่ 1,000 บาท นำไปลงทุนซื้อของมาไว้ให้กับคนที่เอาขยะ ของเก่า มาแลก

ตอนนั้นโดนตัดพ่อตัดแม่ เพราะครอบครัวมีพี่น้องอยู่ 9 คน แล้วทุกคนเรียนเก่ง แต่เราไม่ชอบเรียน พอเราบอกพ่อแม่ว่าจะมาทำขยะ เค้าเลยไม่คุยด้วยนาน 3 ปี เราจึงใช้เวลาในการพิสูจน์ให้เห็นว่าวันหนึ่งสิ่งที่เราทำมันจะสั่นสะเทือนโลกและสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลของเราได้

สำหรับประสบการณ์ขายขยะครั้งแรก เริ่มตอน 8 โมงเช้าถึงเที่ยงได้กำไรมา 400 บาท ขณะที่ตอนนั้นทองคำราคาบาทละ 400 บาท จากนั้นเลยทำงานทุกวันไม่เคยหยุด พอเริ่มมีเงินจึงคิดขยายทำโรงงานรีไซเคิล โดยออกแบบตามสภาพเหตุการณ์ว่ามีวัตถุดิบจากขยะประเทศไหน มาที่ของเราบ้าง โดยมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น ที่สอนเรื่องการรีไซเคิลทำให้ได้รับความรู้มาเพียบ

ส่วนในช่วงวิกฤติช่วงโควิด-19 มีคนใช้บริการเดลิเวอรี่จำนวนมาก ส่งผลให้มีจำนวนพลาสติกเพิ่มทำให้มียอดขยะเพิ่มจำนวนขึ้นมากว่า 300 เปอร์เซ็นต์ ต้องเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีครั้งใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยีตัวใหม่ที่ยุติเรื่องการใช้คน จากที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนมาใช้จอทัชสกรีนเพื่อประหยัดค่าไฟ ประหยัดพลังงาน และค่าแรง ถือเป็นภารกิจที่ต้องพัฒนา

สุดท้ายฝากถึงคนที่อยากทำธุรกิจให้สำเร็จนั้น ในโลกยุคปัจจุบันอย่าฟังปัญหาทางลบมากเกินไป เพราะจะทำให้บั่นทอนสมอง บั่นทอนความรู้ของเราที่จะเจริญเติบโตได้ เชื่อว่าช่องทางทำกินแปลกๆ ในโลกใบนี้ยังมีอยู่อีกเยอะ อยู่ที่เราต้องรู้จักใฝ่หา.