ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลต่อเนื่องจากการจัดงานสัมมนา “ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยปี 2564” ที่จัดโดยไทยรัฐกรุ๊ป เมื่อวันที่ 11 พ.ย.63 ที่ผ่านมานั้น ทีมเศรษฐกิจหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ขยายผล ขอความเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้นำความคิดกลุ่มต่างๆ ทั้งผู้ประกอบการ นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมถึงเทคโนแครต เพื่อได้ร่วมเสนอทางออกเศรษฐกิจของประเทศไทยถึงรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี
โดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ผู้กลายเป็นนักวิชาการ ที่มีความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชาติมาก่อน ให้ความเห็นว่า ต้องมองโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาว และปรับมุมมองให้เป็นแนวทางประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจที่ต้องมีประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์ หรือประโยชน์ที่ทำออกมาจะต้องตกแก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ
ลำดับแรกคือ ทำเกษตรแปรรูปให้เป็นจริงเช่น ผลผลิตยางพารา และปาล์มน้ำมัน รัฐบาลต้องส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เกษตรกรจริงๆ ด้วยการสนับสนุนให้เอกชน หรือรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เช่น บมจ.ปตท.สนับสนุน เรื่องการแปรรูปให้สามารถนำมาใช้ในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าได้
ประการที่ 2 การให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจเอสเอ็มอี จำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนไม่ใช่แตกกระจายไปในรูปแบบที่เป็นอยู่ ที่สำคัญยังต้องทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีตอบสนองการผลิตสมัยใหม่ที่ใช้ต้นทุนในประเทศได้โดยไม่ต้องนำเข้า
“ผมเสนอให้รัฐบาลโฟกัสไปในธุรกิจ 4F ได้แก่ Food อาหาร, Fashion แฟชั่น, Film ภาพยนตร์ และ fighting ศิลปะการต่อสู้แบบไทย ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มนี้ประเทศไทยมีศักยภาพแข็งแกร่ง และมีความเป็นไทยที่ต่างชาติให้ความสนใจอยู่แล้ว เราต้องขายความเป็น localization สินค้าและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เรามี”
ดร.สถิตย์ กล่าวด้วยว่า หน่วยงานรัฐที่ให้การสนับสนุนเรื่องนี้อาจต้องลงทุนซื้อเพื่อการต่อยอดของเอสเอ็มอีไทยจากต้นแบบของอิตาลี หรือสเปน มาเพื่อทำให้สินค้าท้องถิ่นไทยเป็นอันดับ 1 ของโลกได้
ประการสุดท้าย รัฐบาลต้องตั้งเป้าหมายการลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการสมัยใหม่ของโลก เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น “ห่วงโซ่การผลิตของโลก” (Global Supply Chain) ในทันที เพราะนโยบายการค้าขายระหว่างสหรัฐฯกับจีน อาจยังมีอยู่ ฉะนั้นทำอย่างไร จึงจะดึงการลงทุนของคนอเมริกันในจีนให้ย้ายฐานมาในประเทศไทยได้
“เราควรออกแบบกติกาเชิญชวนเขามาลงทุนตามความต้องการของโลกที่เปลี่ยนไป เช่น วางโครงสร้างการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า รองรับเทสล่า หรือสินค้าประเภทไฮเทคโนโลยีทั้งหลายโดยเร็ว เพื่อเป็นฐานการผลิตใหม่ของโลก”
ในขณะที่ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าไทย ซึ่งกลายมาเป็นเทคโนแครตคนสำคัญของประเทศไปอีกคน ให้ความเห็นว่า ปีนี้ต่อปีหน้า ประเทศไทยหนีไม่พ้นปัญหาการเมืองที่เชื่อมโยงมาสู่ปัญหาเศรษฐกิจแน่นอน ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องโฟกัสก็คือ 1.ปัญหาการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลจำเป็นต้องมี Scenario ที่สามารถแบ่งชัดเจนว่า จะปิดหรือเปิดเมืองเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจประเทศกลับมาอย่างไร
“ที่ผ่านมา เราต้องยอมรับว่ารัฐบาลทำเรื่องโควิดได้ดีมาก แต่ในทางเศรษฐกิจเราจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ รัฐบาลจำเป็นต้องวางแผนเปิด-ปิดเมืองที่สามารถตอบสนองสถานการณ์หรือขจัดอุปสรรคต่างๆได้อย่างทันท่วงที”
ทั้งนี้โดยตั้งสถานการณ์ที่ต้องเผชิญไว้ 3 แบบ คือ 1.แบบที่เลวร้ายที่สุดเช่น เปิดภูเก็ตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ถ้าพบว่ามีคนติดเชื้อโควิด ก็สามารถสั่งปิดเฉพาะภูเก็ต ไม่ต้องยุ่งกับพื้นที่อื่น 2.ถ้าสถานการณ์เปิดเมืองออกมาในแบบปานกลาง ไม่รุนแรง ก็ต้องมีแผนการอีกแบบที่จะเข้าถึงผู้ติดเชื้อในพื้นที่ได้ทันที หรือปิดเปิดเป็นโซนไป กรณีที่ 3.หากสถานการณ์ดีมาก ก็ขอให้เปิดเมืองไปเลยภายใต้กติกาป้องกันการแพร่ระบาดที่ยังต้องใช้อย่างเข้มงวดอยู่
เรื่องที่ 2.คือเรื่องการเมือง และความคิดเห็นขัดแย้งซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญคงจะไม่ยุติลงง่ายๆ และการคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เชื่อว่า เศรษฐกิจปีนี้อาจติดลบ 7.8% และปีหน้าอาจขยายตัวได้ 3.8% อาจไม่ได้นำปัจจัยการเมืองไปคำนวณด้วย
รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญ สร้างความชัดเจน และความสงบในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยตรง เรื่องที่ 3.ก็คือ เข้าไปดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือน และดูแลคนที่ตกงานด้วยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรม การผลิตและการเป็นห่วงโซ่อุปทานของโลกใหม่ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าไปปรับเปลี่ยนเพื่อให้การผลิตสามารถรักษาการจ้างงานไว้ได้
“ต้องให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์เตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับการเจรจาการค้าในรูปแบบใหม่ของ new Normal”.