
คราใดที่มีการชุมนุมทางการเมือง การปิด-เปิดช่องทางการสื่อสาร จะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทุกครั้ง ในอดีตการชุมนุมทางการเมือง จะใช้ช่องทางการสื่อสารผ่านทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี ก็จะสั่งให้ปิดช่องดาวเทียมนั้นๆ แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัย ช่องทางการนัดชุมนุม เปลี่ยนจาก “ดาวเทียม” เป็น “ออนไลน์”
จากกระแส สื่อออนไลน์ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทุกคนเป็นสื่อได้ ไม่มีการปิดกั้น การเข้าถึงทั้ง เฟซบุ๊ก (Facebook) ทวิตเตอร์ (Twitter) ยูทูบ (YouTube) ไลน์ (Line) อินสตาแกรม Instagram ติ๊กต็อก (Tiktok) และล่าสุด เทเลแกรม (Telegram)
เมื่อมีการใช้ “สื่อออนไลน์” เป็นช่องทางสื่อสาร เพื่อการชุมนุมทางการเมือง ก็ย่อมถูกจับตามองเป็นพิเศษ และนำไปสู่การปิดกั้น
เช่นเดียวกับการชุมนุมทางการเมือง ในช่วงที่ผ่านมานั้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังและติดตามการกระทำความผิดการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติมและ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)
โดยมีประชาชนและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า กรณีเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งหมดกว่า 350,000 เรื่อง (ณ วันที่ 13-22 ต.ค. 2563)
และเมื่อคัดกรองตามกระบวนการกฎหมายแล้ว พบว่าสื่อออนไลน์ ที่กระทำความผิดชัดแจ้งมี 58 เรื่อง ซึ่งวอยซ์ทีวี, สำนักข่าวประชาไท, สำนักข่าวเดอะรีพอร์ตเตอร์, สำนักข่าวเดอะสแตนดาร์ด และเพจเยาวชนปลดแอกเป็นหนึ่งในสื่อออนไลน์ที่มีความผิดชัดแจ้ง จึงจำเป็นต้องฟ้องศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งปิดกั้น บางรายการ
โดยการปิดกั้นนั้น เป็นไปตามคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ข้อ 2 ที่ระบุไว้ว่า ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลาย ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด รวมตลาดทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ บรรดาที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร
และทันที ที่มีข่าวแพร่สะพัดว่ากระทรวงดีอีเอส ได้เสนอศาลให้ปิดสื่อออนไลน์ดังกล่าว กระแสต่อต้าน แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีการยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล จนที่สุดศาลอาญา มีคำสั่งยกคำร้อง เหตุเนื่องจากคำร้องของกระทรวงดีอีเอส ไม่ได้แสดงเหตุผลและหลักฐานการกระทำผิดอย่างชัดเจนเพียงพอ อีกทั้งศาลระบุด้วยว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีบทบัญญัติคุ้มครองเสรีภาพสื่อประเภทต่างๆ รวมทั้งสื่อออนไลน์
เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตร ทำให้เกิดคำถามย้อนกลับ ไปที่ “กระทรวงดีอีเอส” ทันทีว่า เหตุใดจึงสั่งปิด และเหตุใดคำร้องไม่ชัดเจน? และที่สุดศาลมีคำสั่งไม่ให้ปิด
นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดีอีเอส กล่าวไขข้อข้องใจว่า กระบวนการทำงาน ของกระทรวงดีอีเอสภายใต้ พ.ร.บ.คอมพ์จะต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆส่งศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งปิด เมื่อศาลมีคำสั่งออกมาแล้ว กระทรวงดีอีเอสจะส่งคำสั่งศาลให้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ไอเอสพี) ผู้ให้บริการโทรคมนาคม (ค่ายมือถือ) เป็นผู้ดำเนินการปิดตามคำสั่งศาล
ขณะเดียวกันก็ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อกำชับไอเอสพี และค่ายมือถือ ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลโดยเคร่งครัด
ดังนั้น การปฏิบัติการปิดเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์พนัน เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม เว็บไซต์ลามก กระทรวงดีอีเอส ไม่ได้ทำโดยพลการ แต่ทำงานตามขั้นตอนของกฎหมาย ต้องมีคำสั่งศาลเท่านั้น ถึงจะปิดกั้นได้ กระทรวงดีอีเอสไม่สามารถปิดกั้นได้เอง ต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาร่วม ดำเนินการด้วยทุกครั้ง
ส่วนกรณีการปิดสื่อออนไลน์นั้น เมื่อศาลมีคำสั่ง ให้ยกเลิกคำสั่งปิด กระทรวงดีอีเอสก็ต้องเคารพการตัดสินใจของศาล ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีการปิดสื่อออนไลน์ใดๆเลย
“กระทรวงดีอีเอส เคารพสิทธิเสรีภาพ การเข้าถึงสื่อออนไลน์ของทุกคน การปิดกั้นนั้น ปิดเฉพาะบางรายการ (ยูอาร์แอล) ปิดบางเพจ ที่ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้งเท่านั้น ไม่ได้ปิดทั้งหมด และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้สื่อออนไลน์แต่อย่างใด ขอยืนยันว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ทำตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ”
และขอย้ำว่า การโพสต์ การแชร์ข้อความที่ผิดกฎหมายนั้น มีโทษปรับ 500,000 บาท จำคุก 5 ปี หรือทั้งจำและปรับ ดังนั้นการจะโพสต์และแชร์ข้อความใดๆ โปรดระมัดระวัง ใช้วิจารณญาณ.
ไม่ชัวร์ อย่าโพสต์ อย่าแชร์...
ดวงพร อุดมทิพย์