
คำว่า “ซอมบี้ (Zombie)” หรือ “ผีดิบ” คงเป็นคำที่คุ้นหูกันอยู่แล้วสำหรับแฟนๆภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ กับฝูงชนที่ติดไวรัสชนิดหนึ่งและเสียชีวิต แต่กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แต่บางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าคำศัพท์นี้ขยายวงกว้างมาสู่วงการเศรษฐศาสตร์การเงินเรียบร้อยนานแล้ว นั่นคือ “Zombie firms” หรือถ้าแปลตรงตัวเป็นภาษาไทยคือ “บริษัทผีดิบ” โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีบริษัทเหล่านี้เกิดขึ้นจำนวนมากทั่วโลกหลังการแพร่ระบาดของโควิด–19 มาหาคำตอบกันครับ
ตามกลไกตลาดบริษัทที่ดีคือบริษัทที่สามารถใช้และบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเรียกเป็นภาษาเศรษฐศาสตร์ได้ว่ามีผลิตภาพ (productivity) ทำกำไรที่สูง ในทางตรงกันข้าม บริษัทที่มีผลิตภาพต่ำและนำมาซึ่งความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำหรือประสบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มีบริษัทผลิตภาพต่ำและไม่มีความสามารถในการทำกำไรเหล่านี้ที่ส่วนหนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ได้จากสภาพคล่องที่ได้รับเพื่อหล่อเลี้ยงต่อชีวิตบริษัท ไม่ว่าจะจากการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินหรือได้รับความช่วยเหลือจากรัฐแบบเหวี่ยงแห บริษัทเหล่านี้ก็คือ “บริษัทผีดิบ” นั่นเอง
ตามงานศึกษาของ BIS คือ Banerjee and Hofmann (2018) ได้ให้ความหมายอย่างแคบต่อบริษัทผีดิบไว้ว่าคือ บริษัทที่ไม่มีความสามารถในการทำกำไรในปัจจุบันและที่คาดการณ์ ได้ในอนาคต (ซึ่งวัดจากการประเมินมูลค่าหุ้น) มากเพียงพอที่จะนำมาชำระภาระหนี้ของบริษัทได้ในระยะเวลานานต่อเนื่อง หรือพูดเป็นภาษาชาวบ้านว่าเป็นบริษัทที่มี “หนี้สินล้นพ้นตัว” ดังนั้น หากบริษัทที่มีศักยภาพ มีความสามารถในการปรับตัวและยกระดับผลิตภาพของตนเองให้สูงขึ้นอยู่เสมอ โดยแม้จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐแต่เมื่อวิกฤติจบลงแล้วก็สามารถกลับมาทำกำไรได้ดังเดิมและชำระภาระหนี้ได้ ไม่เข้าข่ายการเป็นบริษัทผีดิบครับ
ถามต่อว่า แล้วมีบริษัทผีดิบมากๆในระบบเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบอย่างไร? ตอบได้ว่า จะทำให้บริษัทเองขาดแรงจูงใจในการปรับตัวและพัฒนาผลิตภาพของตน กลไกการแข่งขันทั้งระบบยังถูกบิดเบือนด้วย เพราะบริษัทผีดิบจะทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินยังคงอยู่ อาจคอยตัดราคา ทำให้ธุรกิจอื่นๆที่มีความสามารถในการปรับตัวเองได้และมีผลิตภาพสูง กลับอยู่รอดยากและเข้ามาแข่งขันไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับผีดิบซอมบี้ในภาพยนตร์ที่คอยวิ่งไล่กัดกินเนื้อคนอื่นและล้มตายไปด้วย
สำหรับประเทศไทยมีงานวิจัย อาทิ กฤษฎ์เลิศและอาชว์ (2562) พบว่าในวงการธุรกิจไทยมีบริษัทผีดิบทั้งที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี ซึ่งมีสัดส่วนสินทรัพย์ประมาณ 5% ของสินทรัพย์ในภาคธุรกิจทั้งหมด แต่แนวโน้มจะมีบริษัทขนาดใหญ่เป็นบริษัทผีดิบเพิ่มขึ้น ส่งผลทางลบต่อโอกาสที่บริษัทใหม่จะเข้าสู่ตลาดและต่อการเติบโตของบริษัทอื่นๆที่อยู่ในอุตสาห-กรรมเดียวกัน โดยการมีบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นในสัดส่วน 1% จะทำให้การลงทุนของบริษัททั่วไปลดลง 0.8% และทำให้การลงทุนของบริษัทใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีลดลง 0.9%
คำถามสุดท้าย เราต้องทำอย่างไรกับมัน? ผู้เขียนขออนุญาตถอดความจากปาฐกถาพิเศษของอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.วิรไท สันติประภพ ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า ในยามวิกฤติภาครัฐควรลดการออกมาตรการช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแห ซึ่งมีลักษณะ “เบี้ยหัวแตก” ขาดประสิทธิผลและไม่คุ้มค่า แต่จำเป็นต้องเน้นให้ “ตรงจุด” กับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษควบคู่ไปกับมาตรการเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพและออกนโยบายที่ช่วยให้บริษัทใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเข้าสู่ตลาดง่ายขึ้น อาทิ การแก้ไขกฎระเบียบเพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการตั้งบริษัทใหม่
สุพริศร์ สุวรรณิก สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **