
“ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา” เป็นหนังสือที่ “สมชัย เลิศสุทธิวงศ์” ซีอีโอบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือที่เรียกกันคุ้นปากว่า “เอไอเอส” ตั้งใจเขียนขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของการก่อตั้งบริษัท ในวันที่ 1 ต.ค.2563 ที่จะถึง
เขาให้เหตุผลของการลงมือเขียนหนังสือเล่มนี้ว่า ต้องการเล่าเรื่องราวของเอไอเอส ในฐานะบริษัทธรรมดาที่ตั้งใจให้บริการที่ดีกับคนไทย ตลอดจนเรื่องราวของเขา ในฐานะพนักงานธรรมดาคนหนึ่ง ที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของบริษัทระดับแสนล้านแห่งนี้ได้
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชายธรรมดาๆ จากยุคเบบี้บูมตอนปลายคนนี้ ถูกเลือกให้ขึ้นมากุมบังเหียน ขับเคลื่อนบริษัทที่อาจกล่าวได้ว่าอยู่ท่ามกลางพายุแห่งเทคโนโลยี ที่ต้องอาศัยการปรับตัวอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ “ความไม่ธรรมดา” ของหนังสือเล่มนี้
เส้นทางการทำงานของสมชัย เริ่มต้นหลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาสถิติ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาเริ่มงานแรกด้วยตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ของธนาคารไทยพาณิชย์ จากนั้นขยับไปเป็นฝ่ายขายของบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ เป็นลูกน้องก้นกุฏิของขุนพลกลุ่มชิน ตั้งแต่ บุญคลี ปลั่งศิริ สมประสงค์ บุญยะชัย และนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล จนปี 2540 ชินวัตร คอมพิวเตอร์ยุติบทบาทเป็นตัวแทนขายคอมพิวเตอร์ จึงถูกโอนย้ายไปเริ่มงานกับเอไอเอสในปี 2541
ที่เอไอเอส สมชัยถูกโยกจากงานด้านการขายไปสู่งานด้าน “ธุรกิจสัมพันธ์” ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้โดยไม่รู้ตัวจากการปรับเปลี่ยนสายงานอย่างสิ้นเชิง
ไม่นานจากนั้น ความสามารถของเขาถูกท้าทายอีกครั้ง จากสมประสงค์ บุญยะชัย ซีอีโอเอไอเอสในขณะนั้นที่มอบหมายให้รับผิดชอบงานสร้างรายได้ใหม่ๆ อย่าง “บริการเสริม” หรือ Value Added Service (VAS) นอกเหนือจากรายได้จากค่าโทร.เข้า-โทร.ออกอย่างเดียว สมประสงค์บอกว่า VAS คืออนาคตของบริษัท และตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นอีกครั้งที่สมชัยอธิบายว่า รับงานมาแบบงงๆ แม้จะล้มลุกคลุกคลาน ลองผิดลองถูก ในที่สุดก็สามารถดันรายได้จากบริการ VAS ทะยานทะลุ 10,000 ล้านบาทสำเร็จ จนได้รับการโปรโมตขึ้นเป็นซีเอ็มโอ ดูแลงานด้านการตลาดทั้งหมด
การตลาดในยุคของสมชัย แข่งขันขับเคี่ยวรุนแรงกับดีแทค ซึ่งขณะนั้นประสบความสำเร็จกับแบรนด์ “แฮปปี้” มาก กลยุทธ์ในสมัยนั้นจึงต้องรักษาฐานลูกค้าเก่าควบคู่ไปกับการหาลูกค้าใหม่ สมชัยจัดการแบ่งงบการตลาดของเอไอเอส ซึ่งขณะนั้นอยู่ในระดับปีละ 3,000 ล้านบาท ออกเป็น 3 ส่วน จากปกติใช้ถมไปกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งหมด ส่วนแรก 1,000 ล้านบาทใช้กับการโฆษณาประชาสัมพันธ์เหมือนเดิม ส่วนที่ 2 อีก 1,000 ล้านบาทใช้ในช่องทางจัดจำหน่าย ดูแลคู่ค้า ดีลเลอร์ และที่เหลือ 1,000 ล้านบาทเอามาใช้กับการให้สิทธิประโยชน์ลูกค้า ให้อยู่กับเอไอเอสไปนานๆ อันเป็นที่มาของมาตรการดูแลลูกค้าขั้นเทพที่ใช้ชื่อว่า “เซเรเนด”
เมื่อถึงคิวขยับขึ้นสู่ตำแหน่งซีอีโอเมื่อปี 2557 จังหวะก็ไม่ได้ราบรื่นนัก เขาเป็นซีอีโอเอไอเอสคนแรกที่มาจากการคัดเลือกโดยการแสดงวิสัยทัศน์ จากในอดีตที่มีการเสนอชื่อจากภายในให้ตัวแทนผู้ถือหุ้นเลือก
ช่วงนั้นกระแส Digital Transformation มาแรงมาก ผู้ถือหุ้นคงเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาเป็นตัวเลือกด้วย การแสดงวิสัยทัศน์ต้องใช้ภาษาอังกฤษ และเขาก็เหมือนคนไทยทั่วไปที่ไม่ค่อยมั่นใจ แต่คิดในแง่บวกว่า พูดภาษาอังกฤษได้ดีหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาของเขา แต่เป็นปัญหาของกรรมการที่ต้องฟังและพยายามเข้าใจมากกว่า จึงตั้งใจพูดสิ่งที่อยากสื่อ ส่วนจะเข้าใจหรือไม่เป็นเรื่องของคนฟัง
“วิสัยทัศน์หลักๆคือย้ำว่าเอไอเอสต้องปฏิรูปหรือ Transform ตัวเอง จากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือ Mobile Operator สู่ Digital Life Service Provider นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์เป็นบริการ”
ถูกกรรมการคัดเลือกถามตรงๆว่า ทำไมอยู่มาตั้งนานแล้วยังไม่ยอม Transform เขาตอบว่า “เพราะที่ผ่านมา ผมยังไม่ได้เป็นซีอีโอนี่ครับ” คงเป็นเพราะคำตอบนี้ ที่ทำให้เขาถูกเลือกให้ขึ้นสู่ตำแหน่งในที่สุด
ตลอด 5 ปีกว่าบนเก้าอี้ซีอีโอ สมชัยสารภาพว่า คลื่นความถี่เป็นปัญหารบกวนจิตใจมานาน ต้องสูญเสียเวลาและสมาธิในการทำงานเพื่อแก้ปัญหาบ่อยๆ เพราะเอไอเอสมีคลื่นจำกัด ขณะที่ฐานลูกค้ามีมากกว่า 40 ล้านคน
ในวันที่การประมูล 5 จีสิ้นสุดลง จึงเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดในฐานะซีอีโอเอไอเอส เพราะทำให้เอไอเอสกลายเป็นบริษัทที่มีคลื่นมากที่สุดในประเทศไทยหรืออาจในโลกด้วยซ้ำ เพียงพอใช้งานต่อไปในอนาคต 2-5 ปี โดยที่ไม่ต้องกังวลเหมือนในอดีต
ก่อนเกษียณอายุในอีกราว 2 ปีข้างหน้า เป้าหมายสูงสุดที่ซีอีโอคนธรรมดาคนนี้ ตั้งความหวังเอาไว้มี2 เรื่องใหญ่ๆ 1.คือการให้บริการให้ดีที่สุดในทุกด้าน รวมถึงการสร้าง “ดิจิทัล แพลตฟอร์ม” ของคนไทยให้เกิดขึ้นให้ได้ 2.การทำให้เอไอเอสเป็นองค์กรที่คนอยากเข้ามาทำงานด้วย เป็นองค์กรของคนทุกเจเนอเรชัน ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน.
ศุภิกา ยิ้มละมัย