แบงก์ชาติประเมินโควิด-19 รอบ 2 มาแน่ ลุ้นระบาดเล็กไม่เป็นไร แต่ถ้าระบาดใหญ่เงินกู้ 1 ล้านล้านก็เอาไม่อยู่ เศรษฐกิจดิ่งนรก work from home ไม่ต้องคิด เพราะไม่มีทั้งงานและบ้าน
แบงก์ชาติประเมินโควิด-19 รอบ 2 มาแน่ ลุ้นระบาดเล็กไม่เป็นไร แต่ถ้าระบาดใหญ่เงินกู้ 1 ล้านล้านก็เอาไม่อยู่ เศรษฐกิจดิ่งนรก work from home ไม่ต้องคิด เพราะไม่มีทั้งงานและบ้าน ด้าน กนง.พร้อมลดดอกเบี้ยช่วย ขณะเดียวกันออกโรงการันตีประเทศไทย ยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด แม้เงินเฟ้อติดลบติดต่อกัน 4 เดือน ส่วนหนี้เน่า ย.ห.พุ่งขึ้นแน่ กระนั้นก็ยังมั่นใจเอาอยู่ ฐานะแบงก์พาณิชย์ยังแข็งแกร่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ว่า ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดสัมมนาในหัวข้อ “The Visino For The NEXT Normal : เปิดวิสัยทัศน์สู่บรรทัดฐานใหม่ของเศรษฐกิจและการลงทุน” โดยนายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้กล่าวในหัวข้อ “วิสัยทัศน์เศรษฐกิจโลก สู่ภารกิจใหม่เศรษฐกิจไทย” ว่า จุดต่ำสุดของเศรษฐกิจโลก ยังต้องติดตามดูการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบ 2 ว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และการปิดเมืองของประเทศต่างๆ
ทั้งนี้ หากการระบาดรอบ 2 มีความรุนแรงมาก จากเดิมที่ประเมินว่าเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.) ที่ระดับ -10% แต่ไม่เกิน 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ก็ต้องเลื่อนจุดต่ำสุดออกไปเป็นไตรมาสที่ 3 หรือไตรมาสที่ 4 (ก.ค.-ก.ย.และ ต.ค.-ธ.ค.)
“การระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ในประเทศไทยมาแน่ ต้องติดตามดูว่าการระบาดที่เกิดขึ้นจะเล็กหรือใหญ่ หากระบาดเล็กๆ ก็ไม่เป็นไรมาก ระบบติดตามคนไข้ของสาธารณสุขทำได้ดี หากเกิดขึ้น 20-30 คน สามารถควบคุมได้ ก็ไม่เป็นไร โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะติดลบ 8% และปี 64 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 2 ปีจึงจะกลับไปสู่ที่เดิม”
ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในครั้งที่ผ่านมา คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ติดลบ 8.1% เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัว หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 แต่หากการระบาดโควิด-19 รอบ 2 เกิดขึ้น มีผลกระทบรุนแรง มีการชัตดาวน์เกิดขึ้น เศรษฐกิจไทยไม่ดีขึ้น กนง.ก็พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ขณะที่เงินกู้ของรัฐบาล 1 ล้านล้านบาทไม่เพียงพอ แต่สามารถกู้เงินได้เพิ่มเติมอีก เพราะหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ 60% ยังสามารถก่อหนี้ได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เงินที่รัฐบาลนำมาใช้จ่ายเป็นการเข้ามาช่วยพยุง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเยียวยา หรือเงินเพิ่มสภาพคล่องให้ประชาชนอยู่รอดได้ ไม่เพียงพอต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำหรับกรณีที่กระทรวงพาณิชย์เป็นห่วงเรื่องของเงินฝืด หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อติดลบ 4 เดือนติดต่อกันนั้น ขอยืนยันว่าประเทศไทยยังไม่เกิดปัญหาในเรื่องเงินฝืดเกิดขึ้น แม้ตัวเลขเงินเฟ้อติดลบเกินกว่า 3 เดือน ซึ่งการติดลบของเงินเฟ้อที่ติดต่อกันเกิดในประเทศไทยมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 58 และปี 59 หรือบางปีเงินเฟ้อติดลบยาวนานมากกว่า 1 ปี ก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงินฝืด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเศรษฐกิจฝืด คนไม่มีสภาพคล่องในการจับจ่ายใช้สอย โดยประเมินว่าในปี 64 เงินเฟ้อของไทยจะกลับไปอยู่ที่ 0.9%
นายดอน กล่าวอีกว่า หนี้ที่ไม่ก่อรายได้ หรือเอ็นพีแอล ของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน ตัวเลขเอ็นพีแอลทั้งระบบตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 3% ของสินเชื่อรวม หากเอ็นพีแอลปรับขึ้นมาอยู่ที่ 4-5% ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แปลก ธนาคารพาณิชย์สามารถรองรับเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นได้ เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีความเข้มแข็ง มั่นคง มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ 18-19% สูงกว่าเกณฑ์ของ ธปท.กำหนดไว้ที่ 12%
สำหรับการปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลน 500,000 ล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้น ปัจจุบันถือว่าธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้ช้ามากหรือค่อนข้างอืดปล่อยไปได้เพียง 100,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของสินเชื่อทั้งหมด แต่การกระจายของสินเชื่อไปสู่ต่างจังหวัดทำได้ดี
ทั้งนี้ ธปท.เตรียมหารือกับสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับเงื่อนไข และอุปสรรคที่เกิดขึ้น พร้อมนำกลไกของภาครัฐเข้ามาช่วย อาทิ ธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากซอฟต์โลนมีระยะเวลา 2 ปี ทำให้ไม่แน่ใจว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะยาวนานเกินกว่า 2 ปีหรือไม่ ทำให้สินเชื่อที่ปล่อยไปมีความเสี่ยง
ดังนั้นต้องใช้กลไกของบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย. เข้ามาช่วยรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น “สิ่งที่แนะนำผู้ประกอบการในช่วงนี้ ต้องคุมต้นทุน และต้องบริหารเงินให้ดี เพราะไม่รู้ว่าวิกฤติในครั้งนี้จะยาวนานแค่ไหนหากเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายเงินที่มีอยู่เพียงพอไหม”.