ธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ของปี 63 หลังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำหลายอย่างหยุดชะงัก
ธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ของปี 63 หลังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำหลายอย่างหยุดชะงัก
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 63 นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ เปิดเผยในงานประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ว่า เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 หลังมีมาตรการควบคุมการระบาดไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในประเทศได้เป็นผลสำเร็จ
ทั้งนี้ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยปรับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการเดินทาง การจับจ่ายใช้สอย และการผลิต แต่ยังคงจำเป็นต้องมีนโยบายด้านอุปทานเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
โดยให้สอดคล้องกับบริบทใหม่หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่กับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อเสริมสร้างให้เศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง และช่วยรักษาระดับศักยภาพการเติบโตให้สามารถกลับมาเติบโตได้ในระยะต่อไป
ทั้งนี้ แบงก์ชาติ มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 และทยอยฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้
- ไทยสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้เป็นผลสำเร็จ
- หลายประเทศรวมทั้งไทย เริ่มทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดโควิดตั้งแต่เดือน มิ.ย.63
- กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยปรับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการเดินทาง การจับจ่ายใช้สอย และการผลิต
- ส่วนประเด็นที่ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มติดลบในปีนี้ไม่ได้แสดงว่าไทยกำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืด แต่แบงก์ชาติก็ให้ความสำคัญ และติดตามความเสี่ยงในระยะต่อไป
- กนง. หรือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน การดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเชิงรุก ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ช่วงต้นปี 63 ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้งจากร้อยละ 1.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 0.50 ซึ่งต่ำเป็นประวัติการณ์
- แบงก์ชาติได้ออกมาตรการด้านการเงิน และสินเชื่อของ ธปท. เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการการผ่อนคลายนโยบายการเงินควบคู่กับมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อได้ช่วยบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งรายย่อย ธุรกิจ ตลาดเงิน และสถาบันการเงิน
ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะของธนาคารแห่งประเทศไทย มีดังนี้ ภาครัฐจะต้องประสานกันเพื่อลดผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจ (scars) รักษาศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเอื้อให้เกิดการปรับตัวไปสู่โลกใหม่หลังโควิด-19
- นโยบายการคลัง ที่ตรงจุดและทันการณ์จะมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการสนับสนุนการจ้างงานและช่วยธุรกิจ รวมถึงรักษาระดับศักยภาพการเติบโต (potential growth)
- นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง และดำเนินมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อเพิ่มเติม เช่น ดูแลให้สภาพคล่องที่มีเพียงพอในระบบกระจายไปสู่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ, เร่งให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (debt restructuring), รักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินให้เข้มแข็งต่อเนื่อง และเตรียมมาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางการเงิน
- นโยบายด้านอุปทาน เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ (economic restructuring) ทั้งธุรกิจ ทุน และแรงงาน ให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจใหม่หลังการระบาด
นอกจากนี้ ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับนโยบายด้านอุปทานเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ในภูมิทัศน์ใหม่หลังโควิด-19 คลี่คลาย ดังนี้
- มีกลไกการบริหารกำลังการผลิตส่วนเกิน หรือ excess capacity
- สร้างงานใหม่รองรับผู้ว่างงาน และนักศึกษาจบใหม่
- พัฒนาทักษะแรงงาน เอื้อให้แรงงานปรับตัวเข้าสู่ภูมิทัศน์ใหม่
- เร่งปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐที่เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ใหม่
- สนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและมีโอกาสฟื้นตัวเร็วหลังการระบาด
- เร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล.