
“กฟผ.”นำสื่อมวลชนดูงาน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก และพลังงานไฮโดรเจน ที่เกาหลีใต้ เพื่อเป็นต้นแบบการยกระดับระบบไฟฟ้าของประเทศไทย ในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และลดก๊าซเรือนกระจก
นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยภายหลังนำคณะสื่อมวลชน ศึกษาดูงานนวัตกรรมพลังงานสะอาด ณ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ว่า เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กหรือ SMR และพลังงานไฮโดรเจน ถือเป็นความหวังใหม่ของระบบไฟฟ้าประเทศไทย ในการยกระดับความมั่นคงพลังงาน ควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้เร็วขึ้นจากปี 2608 มาเป็นปี 2593
“แม้ปัจจัยทางการเมือง ที่ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ อาจทำให้ร่างแผนพัฒนา กำลังการผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพี 2024 ฉบับใหม่ล่าช้าลงบ้าง แต่ตามแผนพีดีพีได้มีการปรับปรุงมามากพอสมควรแล้ว ในมุมของ กฟผ. การพัฒนา SMR ไม่ใช่โครงการระยะสั้น ที่ต้องรอจังหวะรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง มาตัดสินใจ หากแต่เป็นการลงทุนเชิงโครงสร้าง ที่ใช้เวลาเตรียมการกว่า 10 ปีขึ้นไป ตั้งแต่การจัดทำกฎหมาย กฎระเบียบ บุคลากร ไปจนถึงการสร้างการยอมรับของสังคม ซึ่งสามารถเดินหน้า คู่ขนาน” ไปได้โดยไม่สะดุด จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ผ่าแผนนำไทยก้าวสู่ Net Zero
แนวทางพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ที่ขณะนี้ ประเทศไทยอยู่ในระหว่างการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งแม้มีต้นทุนต่ำและดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้แล้ว แต่แลกมากับความไม่เสถียรของระบบไฟฟ้า จึงต้องเร่งปรับโครงข่ายให้รองรับพลังงานหมุนเวียน ได้มากขึ้น ในร่างพีดีพีใหม่ มีการวางระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) สูงถึง 45,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ แบบสูบกลับ 20,000 เมกะวัตต์ และแบตเตอรี่ 25,000 เมกะวัตต์ เพื่อเป็นฐานเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในอนาคต
“กฟผ. ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้า ได้มุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกิน 50% ตามร่างแผนพีดีพี ผ่านโครงการสำคัญ เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ (Quick Big Win) การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) แต่สำหรับ SMR ถือเป็นส่วนสำคัญที่ร่างแผนพีดีพีกำหนดให้มี 2 โรงไฟฟ้า รวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580”
ขณะที่ระยะถัดไป คือ การนำเทคโนโลยีที่ทั่วโลกพัฒนาแล้ว แต่ยังไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์เต็มที่ มาพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดย SMR ถือเป็นเทคโนโลยีที่ใกล้ความจริง มากที่สุดในขณะนี้และทั่วโลกให้ยอมรับ จึงได้ถูกกำหนดไว้ในร่างพีดีพี จำนวน 2 โรง โดยหากประเทศไทยต้องเดินหน้า Net Zero ปี 2593 โดยไม่มี SMR เป็นทางเลือก ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนสูง
SMR จึงไม่ใช่เรื่องว่าต้องเลือกหรือไม่เลือกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่เป็นเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในระยะยาว"SMR มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยสูง ใช้ระบบ Passive Safety ที่สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติ ได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าภายนอก และใช้พื้นที่จำกัด โดยหากประเทศไทยตัดสินใจ เดินหน้าอย่างเป็นทางการ ก็ต้องจัดทำแผนงานทั้งหมดให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านมาตรฐาน ของทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ที่จะต้องใช้เวลาประมาณ 12–13 ปี "
ทั้งนี้ ความท้าทายหลักของประเทศไทย ไม่ใช่บุคลากรด้านเทคนิค แต่คือกฎหมาย กฎระเบียบ และการยอมรับของสังคม ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและความต่อเนื่องของนโยบาย มากกว่าการเมืองระยะสั้น ของแต่ละรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ
เยี่ยมชมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกาหลีใต้
การศึกษาดูงานครั้งนี้ กฟผ. ได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยกลางของ Korea Hydro & Nuclear Power (KHNP) โรงงานเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของ KEPCO Nuclear Fuel และโรงงานไฮโดรเจนของ Doosan Enerbility ซึ่งสะท้อนภาพชัดว่า เกาหลีใต้เดินหน้าพัฒนา Value Chain หรือพลังงานสะอาดครบวงจร ทั้ง SMR พลังงานหมุนเวียนและไฮโดรเจน เพื่อเสริมความมั่นคงและสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ
“กฟผ. ติดตามพัฒนาการ SMR อย่างใกล้ชิด และร่วมมือกับหลายหน่วยงาน อาทิ ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยมี KHNP เป็นพันธมิตรสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และพัฒนาบุคลากร โดย KHNP มีประสบการณ์กว่า 50 ปี และได้พัฒนาเทคโนโลยี i-SMR ที่ใช้ระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety ติดตั้งแบบฝังใต้ดิน สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติในสถานการณ์ฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือบุคลากร สอดคล้องกับแนวคิด Smart City ของเมืองแทกู ที่ผสานพลังงาน i-SMR พลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจน เพื่อพัฒนาสู่ Smart Net-Zero City”
ทั้งนี้ เกาหลีใต้ เป็น 1 ใน 5 ประเทศ ผู้นำด้านนิวเคลียร์ของโลก มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 26 โรง คิดเป็น 30% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ และในแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 11 ยังมีแผนพัฒนา SMR ขนาด 680 เมกะวัตต์ ผ่านเทคโนโลยี i-SMR ภายใต้ i-SMR Consortium โดยตั้งเป้าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2578 โดยเกาหลีใต้เน้นการพัฒนา Value Chain ทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหาเชื้อเพลิง ไปจนถึงการบริหารจัดการกากนิวเคลียร์ ขณะที่ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงศึกษาและเตรียมความพร้อม
นำไทยเข้าสู่ยุคพลังงานสีเขียว
นอกจาก SMR แล้ว กฟผ. กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมไฮโดรเจน 5% กับก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 6 แห่ง ได้แก่ พระนครเหนือ, พระนครใต้, วังน้อย, บางปะกง, น้ำพอง, จะนะ และพร้อมจับมือกับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น มิตซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด (MCT) เพื่อศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และแอมโมเนีย ในพื้นที่ของโรงไฟฟ้า ที่มีศักยภาพของ กฟผ.
"ในระยะเปลี่ยนผ่าน ประเทศไทยต้องมุ่งผลักดัน Blue Hydrogen ควบคู่เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งโครงการนำร่องจะต้องอยู่ในแหล่งปิโตรเลียมกลางทะเล เพื่อใช้ธรรมชาติเป็นบัฟเฟอร์ในการกักเก็บคาร์บอน ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในระหว่างการศึกษาอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้ไทยตกขบวนบนเวทีโลกในเรื่องพลังงาน"
นายวฤต กล่าวย้ำว่า โลกกำลังแข่งกันเรื่องพลังงานสะอาด ไม่ใช่เพื่อเป้าหมายการลดคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เพื่อดึงดูดการลงทุน และรักษาขีดความสามารถทางอุตสาหกรรม หากประเทศไทยชะลอการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง จะทำให้เสียเปรียบประเทศคู่แข่ง เพราะนักลงทุน ต้องเผชิญกับกฎกติกาการค้าโลก ที่กำลังเป็นกฎเกณฑ์บังคับ อาทิ CBAM (มาตรการภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้านำเข้าบางประเทศ)ตามกฎเกณฑ์ของสหภาพยุโรป (อียู) ที่กดดันประเทศผู้ส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
“SMR และไฮโดรเจน ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็นโครงสร้างอนาคตของประเทศ กฟผ. พร้อมเดินหน้าสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบไฟฟ้าที่มั่นคง ต้นทุนแข่งขันได้ และก้าวสู่ผู้นำพลังงานสีเขียวอย่างยั่งยืน”