"ผมเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ" นายกฯ แจงยุทธศาสตร์ New Normal

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"ผมเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ" นายกฯ แจงยุทธศาสตร์ New Normal

Date Time: 13 ก.ค. 2563 05:01 น.

Summary

เรื่องของการเป็นนายกรัฐมนตรี New Normal เนี่ย ไม่ใช่ผมคนเดียวที่จะต้องปรับเปลี่ยนชีวิตให้เข้ากับวิถีใหม่ที่เปลี่ยนไปหลังโควิดนะ แต่ทุกฝ่าย ตั้งแต่คณะรัฐมนตรี นักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน

Latest

“นมโค-มะพร้าวน้ำหอม” ล้นตลาด!“จตุพร” ออก 3 มาตรการเชิงรุก หวังดึงราคา-เร่งระบายสินค้า

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหมและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล

เรื่องของการเป็นนายกรัฐมนตรี New Normal เนี่ย ไม่ใช่ผมคนเดียวที่จะต้องปรับเปลี่ยนชีวิตให้เข้ากับวิถีใหม่ที่เปลี่ยนไปหลังโควิดนะ แต่ทุกฝ่าย ตั้งแต่คณะรัฐมนตรี นักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชนต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด ความเชื่อเก่าๆ หรือที่เรียกว่า Mindset ซึ่งมีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่

ทุกวันของการทำงานผมคิดอยู่แต่เพียงว่า ผมจะต้องแก้ปัญหาที่ผ่านมาในอดีตอย่างไร ทำปัจจุบันให้ดีได้หรือไม่ และนำไปสู่เป้าหมายในอนาคตที่สมบูรณ์สำเร็จไหม

หลายคนถามคำถามเดียวกันคือ อะไรคือหลักการของการเป็นนายกรัฐมนตรีแบบ New Normal (นายกฯวิถีใหม่) ผมขอตอบว่า หลักการของนายกฯวิถีใหม่มีสิ่งที่จะต้องทำ และปรับเปลี่ยนอยู่ 6 ประการด้วยกัน คือ 1.เรื่องของการทำให้ประเทศเกิดความมั่นคง ความมั่นคงในที่นี้ไม่ใช่เพียงความมั่นคงทางทหารอย่างเดียว...

ที่นั่งๆกันอย่างสุขสบายอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของความมั่นคงทางทหารที่แต่ละวันจะมีทหาร 40,000-50,000 นายผลัดเปลี่ยนกันไปประจำทำหน้าที่อยู่ตามชายแดนเท่านั้น แต่ความมั่นคงนี้รวมไปถึงการทำให้ประชาชนคนไทยมีความสุขสงบ สุขภาพแข็งแรงด้วยระบบการสาธารณสุขที่ดี ขณะเดียวกันประชาชนก็มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน

ยุทธศาสตร์ของการเป็น “นายกฯ New Normal”

2.คือภารกิจของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของคนทุกระดับ ยุทธศาสตร์นี้ไม่ได้เก่าเกินไป แต่มันคือ หลักการที่จะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาภายภาคหน้า 3.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 4.การพัฒนาระบบราชการ 5.คือการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายข้อ 6.คือ ภารกิจในการลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องของรายได้ ผมอยากให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสในเรื่องนี้

ยุทธศาสตร์ที่ว่ามานี้เป็นเรื่องสำคัญ และไม่มีประเทศไหนไม่วางยุทธศาสตร์แบบนี้

ปัญหาก็คือการจะทำให้ยุทธศาสตร์ชาติสำเร็จลุล่วงได้ในระยะเวลาเร็ว หรือช้า จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนความคิดของทุกฝ่ายอย่างที่กล่าวข้างต้นเป็นสำคัญด้วย บางเรื่องอาจใช้เวลา 1-3 ปี แต่บางเรื่องอาจต้องใช้เวลา 5 ปี

ผมอยากเรียนว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องยุทธศาสตร์ชาติที่ถูกวางไว้ 20 ปี จริงๆก็ต้องแก้ไขในทุกๆ 5 ปีอยู่แล้ว ส่วนที่ว่าชักช้าจะไม่ได้การนั้นเป็นเพราะความต้องการของมนุษย์มีมากจนไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

ในขณะเดียวกัน การแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดทางให้รัฐสามารถดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติให้สำเร็จได้นั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา กฎหมายหลายฉบับที่เสนอแก้ไขออกมาไม่ได้ จึงมีปัญหาว่าเราจะเป็น New Normal ได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถแก้ไขสิ่งต่างๆที่จะเป็นองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์วิถีใหม่ได้ สิ่งสำคัญอีกอย่างในความสำเร็จของยุทธศาสตร์ก็คือ การพัฒนาระบบราชการไทย

ยอมรับข้อเสนอดึงฝ่ายค้านร่วมแก้วิกฤติ

พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่า วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ใหญ่มาก และใช้เวลานาน จนอาจมีความจำเป็นในฐานะผู้นำรัฐบาลในชีวิตวิถีใหม่ที่จะต้องสร้างความแตกต่าง ความคาดไม่ถึง และไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนทำด้วยการหันไปชักชวน

พรรคการเมืองฝ่ายค้านให้เข้าไปร่วมมือกันในการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจที่ว่านี้ให้เกิดเป็นพลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และเป็น Impact ที่ส่งผลกระทบให้เกิดความสำเร็จอย่างจริงจัง

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียอมรับจะไปพิจารณาเรื่องข้อเสนอให้จัดตั้งวอร์รูม (War Room) ในลักษณะเดียวกันกับศูนย์บริหารความเสี่ยงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ที่สามารถหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยได้

ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นศูนย์บริหารความเสี่ยงของวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในช่วงหลังโควิด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจขยายตัวติดลบหนักติดต่อกันทั้งในไตรมาสที่ 2 และ 3 ประมาณ -12 -16 - 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP)

ยังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลเหมือนเดิม

สำหรับคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้งในพรรคแกนนำรัฐบาล หรือพรรคพลังประชารัฐที่รุนแรงถึงขั้นทำให้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค ส่งผลให้นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และอีก 3 กุมารทอง ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ลาออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น

พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ไม่อยากให้เอาเรื่องของพรรค พปชร.มาปะปนกับเรื่องของการทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจอยู่

“ใครจะอยู่ ใครจะไป ผมห้ามเขาไม่ได้ แต่ที่เขาลาออกไม่ใช่เพราะเขาไม่ดี ทุกคนล้วนทำงานร่วมกับผมมาด้วยดี บางอย่างสำเร็จแล้ว แต่บางอย่างต้องรอ ส่วนที่ถามว่าอาจจะลาออกจากตำแหน่งนั้น ถึงจะลาออกก็มีคนทำงานแทน จะเป็นปลัดกระทรวง หรือใครก็ได้ และจริงๆผมก็เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ”

นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า เขาเป็นนายกฯที่มีความหนักแน่น มีจุดยืนของตัวเอง แต่ก็ไม่ทิ้งจุดยืนของพรรคการเมืองที่สนับสนุน “ที่สำคัญในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ผมสามารถจะเรียก หรือสั่งการได้ หรือขอข้อมูลกับทุกคนและทุกฝ่ายได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีทีมที่ปรึกษาซึ่งมาจากภาคเอกชน นักธุรกิจ และนักการเงินนายธนาคาร รวมถึงที่ปรึกษาส่วนตัว โดยเฉพาะสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้การช่วยเหลืออยู่”

พล.อ.ประยุทธ์ยังฝากฝังคณะบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และธุรกิจสื่อในเครือด้วยว่า อยากให้เข้าใจเขามากกว่านี้ “ที่ผ่านมา 6 ปี มีเรื่องที่ทำสำเร็จไปก็มาก ที่ยังไม่สำเร็จอีกก็ยังมี แต่ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อขจัดความขัดแย้งในสังคมให้มากที่สุด ไม่พยายามทำให้สังคมไทยระส่ำระสาย ส่วนตัวผมยอมรับว่าแรกๆผมอาจมีความเป็นทหารมากไปหน่อย ก็ต้องขอโทษด้วย แต่เดี๋ยวนี้ผมเรียบร้อยขึ้นมากแล้ว”.

นายอุตตม สาวนายน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

หลังเข้ามารับตำแหน่ง รมว.คลัง ในเดือน ก.ค.2562 กระทรวงการคลังได้ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นแพ็กเกจใหญ่ เพื่อดูแลและบรรเทาผลกระทบให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย และขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ทันทีในช่วงไตรมาส 3 ต่อเนื่องไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว

“มาตรการที่ออกมาเป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เช่น เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชราเป็น 500 บาทต่อเดือน เพิ่มเงินเลี้ยงดูสวัสดิการบุตร 300 บาทต่อเดือน พักหนี้กองทุนหมู่บ้าน รวมทั้งมาตรการชิมช้อปใช้ ฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจที่กำลังทรุดตัวปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จีดีพีเพิ่มขึ้น 2.8% จากที่คาดการณ์ว่าจะต่ำกว่า 2%”

อย่างไรก็ตาม นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงแรกนี้เป็นการดำเนินการก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 เป็นมาตรการรักษาโรคตามอาการ ซึ่งเศรษฐกิจไทยในขณะนี้เริ่มมีปัญหา แต่ไม่ได้ตกเหวหรือปักหัวทิ่ม

โดยเมื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2563 ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวที่ 3.3% เพราะเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น การส่งออกไทยดีขึ้น ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุน

“เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วงต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ช่วงแรกเรามองว่ายังไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ได้เข็นมาตรการบรรเทาผลกระทบออกมา 2 ระยะ เช่น สินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน ของประกันสังคม 30,000 ล้านบาท ลดภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก 3% เหลือ 1.5% พักเงินต้นดอกเบี้ย ยืดเวลาชำระหนี้ลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ”

ตั้งเป้าหมายให้ “ยารักษาโรค” ตามอาการ โดยช่วงนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าโควิด-19 จะรุนแรงแค่ไหน

รับโควิด-19 ทุบเศรษฐกิจรุนแรง

อย่างไรก็ตาม หลังจากติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นแสนๆคนภายในระยะเวลารวดเร็ว รวมถึงอัตราการตายที่เพิ่มด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่มียารักษาและวัคซีน

มาตรการที่ออกมาแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 จึงเพิ่มมากขึ้น โดยเน้นการลดผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการในประเทศเป็นหลัก โดยไม่หวังพึ่งการส่งออกและท่องเที่ยวเหมือนกับวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540

ในขณะนั้นประเทศไทยประสบปัญหาฟองสบู่แตก มีการลอยตัวค่าเงินบาท และปิดสถาบันการเงินหลายแห่ง ขณะที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้มีความรุนแรงมาก ถึงขั้นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะกำลังซื้อหดหายจากการปิดเมือง ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน ปัญหาที่ตามมาคือ คนตกงานมากขึ้น เพราะไม่มีงานทำ ทำให้โรงงานต้องปิดตัว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว

“ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้โทรศัพท์พูดคุยกับ รมว.คลังของประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราพยายามทำดีที่สุด แต่ก็ไม่พ้นถูกตำหนิ (หัวเราะ) ซึ่งพวกเรา รมว.คลังเข้าใจกันได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่มีใครรู้ว่าโควิด-19 จะจบลงเมื่อไหร่ จะเกิดโควิด-19 ระลอก 2 หรือไม่”

แต่ที่ชัดเจนและแน่ใจแล้วคือ จีดีพีไตรมาส 2 จะติดลบเกิน 10% แน่นอน สอดคล้องกับสภาพัฒน์ที่ระบุว่า จีดีพีไตรมาสแรกติดลบ 1.8% และจะติดลบหนักสุดในไตรมาส 2 คาดว่าทั้งปีจะติดลบ 5-6% รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าเศรษฐกิจทั้งปีจะติดลบ 8.1%

7 มาตรการฟื้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

ในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้จำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้รอดพ้นจากวิกฤติโควิด-19 ให้ได้ โดยวางแผนไว้ 7 มาตรการ

1.จัดตั้งกองทุนเอสเอ็มอีช่วยเหลือคนตัวเล็ก วงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำ เวลาชำระหนี้ 7-10 ปี ให้กู้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ดำเนินการ และบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ช่วยค้ำประกันสินเชื่อในวงเงิน 30,000 ล้านบาท

2.มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้แก่ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 15 ก.ค.นี้ 3.การเร่งนำเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก และชุมชนวงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยมอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน เป็นแกนนำ ซึ่งจะจ้างงานได้กว่า 400,000 คนในระยะแรก

4.การดูแลเสถียรภาพระบบการเงินและตลาดทุนของไทย โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้ดำเนินการ โดยจัดตั้งกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับลงทุนได้ (high yield bond fund) เพื่อสนับสนุนเงินทุนในช่วงสั้นๆ สำหรับกิจการที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง 5.ขยายเวลามาตรการผ่อนปรนภาระภาษี เช่น การให้เอสเอ็มอีนำค่าจ้างลูกจ้างมาหักลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า การต่อยอดมาตรการลดค่าน้ำ-ค่าไฟ 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย.)

6.เร่งรัดให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุน ในปีงบประมาณ 2563 ให้ได้ตามเป้าหมาย โดยขณะนี้เบิกจ่ายงบได้เพียง 104,214 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 300,000 ล้านบาท ยังเหลืองบประมาณที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายอีกประมาณ 195,786 ล้านบาท และ 7.การพัฒนาประเทศก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบด้วยการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน เพื่อต่อยอดระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังคาดหวังว่าจะเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่กับตลาดทุนธนาคารพาณิชย์ เพื่อเดินหน้าสู่ “ศูนย์กลางทางการเงิน” เอเชีย ซึ่งเป็นโอกาสของไทยที่ต้องคว้าไว้ ในช่วงที่หลายประเทศบอบช้ำจากพิษโควิด-19

“โควิด-19 จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ประชาชนจะหันมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดัน โดยข้อมูลที่ได้จากการลงทะเบียนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการชิมช้อปใช้ โครงการเราไม่ทิ้งกัน จะเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้า (Big data) ซึ่งจะทำให้ช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้อย่างถูกฝาถูกตัวและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น”.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ