
ในขณะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินหน้าโครงการช่วยเหลือ และจ่ายเงินเยียวยาผลกระทบจากการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้แก่ประชาชนคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยการอนุมัติจ่ายเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ตกงานที่อาจจะมากกว่า 14 ล้านคนตามการคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจหลายแห่งนั้น
ที่ มูลนิธิปิดทองหลังพระ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ก็ตระเตรียมมาตรการจำนวนมาก เพื่อรับมือกับอนาคตของประเทศไทย ที่อาจจะมีประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องตกงาน หรือไม่มีงานทำ
ภายหลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยุติลง โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างต่างๆทางสังคมของประเทศไทยจำต้องเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยเหตุที่การแพร่ระบาดของไวรัสตัวใหม่นี้ ได้กลายเป็นอุบัติการณ์ที่กระทบถึงการใช้ชีวิตตามปกติของผู้คนทั่วทั้งโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยนั่นเอง
การพยากรณ์ล่วงหน้าว่า จะมีคนไทยจำนวนมากต้องตกงานในอนาคตข้างหน้านั้น ทำให้คณะกรรมการของมูลนิธิปิดทอง ต้องศึกษาหาแนวทางเพื่อจะกอบกู้วิกฤติชาติในครั้งนี้ให้ได้ เพื่อสร้างชนบทของประเทศไทยให้ยั่งยืน
เหตุผลนี้ ทำให้มูลนิธิปิดทองหลังพระ ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงภาคีภาคเอกชนต่างๆ นำแนวพระราชดำริมาบรรเทาพิษโควิด-19 เข้าไปส่งเสริมอาชีพและพัฒนาการเกษตรใน 43 อำเภอของจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ จำนวน 107 โครงการ เพื่อช่วยให้ประชาชน 5,320 ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมปีละ 217 ล้านบาท
หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระ เปิดเผยกับ ทีมเศรษฐกิจ เกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมฐานรากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะว่างงานของโควิด-19 ว่ามูลนิธิยึดแนวทางบูรณาการกับภาคีในรูปแบบของ “แนวทาง 4 ประสาน 3 ประโยชน์” เพื่อสร้างชนบทไทยให้เกิดความยั่งยืน คือ ราชการ เอกชน ประชาชน และมูลนิธิ ในฐานะผู้ริเริ่ม และประสานแผน จึงทำให้โครงการต่างๆเริ่มได้รวดเร็ว และพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
“ในเวลาสองเดือนที่มูลนิธิตัดสินใจจะทำ ก็ได้รับความร่วมมือจากภาคีต่างๆ ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ เอกชนและประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันสำรวจแหล่งน้ำต้นทุน สำรวจความคิดเห็นของชาวบ้าน และข้อมูลตลาดสินค้า ทำให้ทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจ จึงมั่นใจว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร”
ปิดทองหลังพระ มีเป้าหมายเบื้องต้น คือ การสร้างงานรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยนำมาผนวกกับการแก้ปัญหาภัยแล้งและเศรษฐกิจตกต่ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่การลงทุน
หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา กล่าวว่า “ช่วงที่มีปัญหามากๆ อย่างตอนนี้ ประชาชนจะเห็นว่าพระราชดำริช่วยได้จริงๆ โครงการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เกษตร ภาคเอกชน มาร่วมมือกับผู้ที่ตกงานจากโควิด-19 แล้วมาทำงานหารายได้ยังชีพ 377 คนกับชาวบ้านอีกเกือบ 4,000 คน ที่อาสามาทำงาน เพราะเขารู้ว่าเมื่อมีน้ำแล้ว เขาเองจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงมีเอกภาพและทุกฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งระดับชุมชน ท้องถิ่นและระดับประเทศ”
โครงการพัฒนาทั้ง 107 โครงการ ดำเนินการในพื้นที่ครอบคลุม 43 อำเภอ ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่า ทำให้เกษตรกร 5,320 ครัวเรือน มีน้ำเพียงพอเพื่อการเกษตร คือ เพิ่มขึ้น 23.7 ล้านลูกบาศก์เมตร กระจายน้ำได้ครอบคลุม 30,900 ไร่
“เราเคยทำโครงการแบบนี้มาก่อนที่อุดรธานี ซึ่งวิจัยแล้วว่า เมื่อมีน้ำเพียงพอ รายได้ของชาวบ้านจะเพิ่มขึ้นไร่ละ 7,000 บาท คือ จากข้าวประมาณสองพันบาท และจากพืชหลังนาอีกห้าพันบาท ฉะนั้น แหล่งน้ำ 107 แห่งนี้ก็จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 217 ล้านบาท ในขณะที่เงินลงทุนรวมเพียง 48.8 ล้านบาท หรือเฉลี่ยแห่งละ 456,000 บาท”
นอกจากการพัฒนาแหล่งน้ำและระบบกระจายน้ำแล้ว มูลนิธิ ยังจะร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ และภาคเอกชน ในการส่งเสริมการเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม ตรงความต้องการของตลาดอีกด้วย จึงจะทำให้เกิดคุณประโยชน์หลักๆสามด้าน คือ เกิดระบบกระจายน้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอาชีพเกษตร เกิดธุรกิจใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตรงความต้องการของตลาด และเกิดความรู้เพื่อให้ท้องถิ่นและชุมชนพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
“การระบาดของโควิด-19 มาซ้ำเติมความแห้งแล้งรุนแรงที่สุดใน 40 ปี เราต้องยอมเหนื่อยกัน แต่เมื่อรัฐบาลเตรียมกระตุ้นการพัฒนาแหล่งน้ำและการเกษตร ผมก็คิดว่าแนวทางที่เราทำกันอยู่นี้จะทำให้กระตุ้นได้ผลเต็มที่และยั่งยืนด้วย”
การดำเนินโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานรากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะว่างงานของโควิด-19 ของมูลนิธิปิดทอง หลังพระ เป็นการจัดทำ โครงการแบบองค์รวม (holistic) ที่มองกิจกรรมทุกกิจกรรม ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ การพัฒนาการเกษตรหลังมีน้ำ เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในภาคเกษตร โดยให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม
มูลนิธิปิดทองหลังพระ สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ พร้อมจ้างงานผู้ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์ COVID-19 ช่วยงานโครงการเพื่อให้คนกลุ่มนี้มีงานทำและเรียนรู้พร้อมฝึกปฏิบัติการประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริไปด้วย ส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งสนับสนุนความรู้ด้านการตลาดอย่างบูรณาการ
โครงการมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากกระบวนการค้นหาปัญหาที่ตรงกับความต้องการของประชาชนในระดับฐานราก ตามหลักการทรงงาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตั้งแต่การเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์เพื่อค้นหาปัญหา การทำประชาคมให้เกิดการยอมรับและเข้ามามีส่วนร่วม มีการจัดตั้งกลไกในรูปคณะทำงานระดับจังหวัด และอำเภอ
ทั้งนี้ ก็เพื่อต่อยอดโครงการให้เกิดความยั่งยืน จัดทำระบบบริหารจัดการที่ครอบคลุมทั้งในขั้นวางแผน ขั้นปฏิบัติตามแผน และติดตามผล มีการแบ่งมอบภารกิจในการปฏิบัติที่ชัดเจนและให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้นำชุมชน (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารท้องถิ่นในพื้นที่)
โครงการนี้เริ่มต้นด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กที่มีอยู่ในพื้นที่ซึ่งชำรุดเสียหาย ราษฎรใช้ประโยชน์จากน้ำได้ไม่เต็มศักยภาพตามความต้องการของชุมชน โดยกรณีฝายชำรุด จะทำการซ่อมแซม หรือสร้างใหม่ กรณีน้ำไม่พอ จะทำการเสริมศักยภาพ สร้างระบบส่งน้ำถึงแปลงเกษตร โดยระบบท่อ คลองส่งน้ำหรือถังพักน้ำ และใช้ระบบโซลาร์เซลล์สูบและส่งน้ำ เพื่อลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องใช้น้ำมัน
จากนั้นจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ ที่มีกติกาชัดเจน โดยปิดทองหลังพระ สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ และราษฎรสละแรงงาน องค์กรปกครองท้องถิ่นรับผิดชอบในการเขียนแบบแปลน และคณะกรรมการระดับจังหวัดพิจารณากลั่นกรองคัดเลือกโครงการ
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การจ้างแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์โควิด-19 และกลับภูมิลำเนา มาปฏิบัติงานในโครงการ จะเน้นคัดเลือกคนในหมู่บ้านเป้าหมายที่พัฒนาแหล่งน้ำ กรณีไม่มีบุคคลที่ถูกเลิกจ้างให้พิจารณาหมู่บ้านโดยรอบหรือตำบล หรือใช้เวลาในการเดินทางมาปฏิบัติงานไม่เกิน 30 นาที มีการจ้างงานเป็นเวลา 3 เดือน สำหรับบัณฑิตว่างงานจะมาเป็นพนักงานโครงการ อัตราค่าจ้าง 15,000 บาท/เดือน และผู้ว่างงานมาเป็นอาสาสมัครพัฒนาหมู่บ้าน (อสพ.) ในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน
มูลนิธิปิดทองหลังพระ คาดหวังว่า โครงการนี้จะเกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน คือ เกษตรกรได้รับน้ำเข้าถึงแปลงเกษตรของตน และมีความรู้ในการบริหารจัดการน้ำชุมชน ลดรายจ่ายและมีรายได้เพิ่มขึ้นหลังจากมีระบบน้ำ ทั้งจากผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้น พืชหลังนา พืชผักตลอดปี ได้ความรู้ในการทำเกษตรประณีต และเกษตรแม่นยำ และได้รับกองทุนปัจจัยการผลิต ทั้งเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช ปศุสัตว์ แบบเกษตรทฤษฎีใหม่
ผู้ว่างงานจากสถานการณ์ COVID-19 มีรายได้ และมีองค์ความรู้ สามารถนำแนวพระราชดำริไปประยุกต์ใช้ และอาจเปลี่ยนแนวคิดทำการเกษตรในภูมิลำเนา ไม่กลับไปทำงานในสถานประกอบการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถทำโครงการต่อยอดจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ และการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรที่โครงการดำเนินการไว้เป็นตัวอย่าง ซึ่งได้มีการรายงานกระบวนการและความก้าวหน้าของโครงการ ต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับทราบแล้วในเบื้องต้น
สิ่งนี้อาจเป็นต้นแบบให้รัฐบาลขยายโครงการให้กว้างขวางขึ้นเป็นระดับประเทศต่อไป ในช่วงที่รัฐบาลกำลังจัดเตรียมมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 นี้
นายชัยธวัช เนียมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า “โครงการที่มาร่วมกันทำนี้สามารถทำให้เกิดอาชีพที่มั่นคงระยะยาวแก่ชาวบ้านได้ เป็นการทำแบบเล็กไปหาใหญ่ ผมจึงขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยเข้ามาร่วม เพื่อเป็นการเรียนรู้รูปแบบของงานเพื่อให้กาฬสินธุ์ขยายงานต่อไปได้เอง”
นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ขอนแก่นมีแนวทางชัดเจนที่จะต่อยอดการพัฒนาแหล่งน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยได้มอบให้หน่วย ราชการต่างๆ เข้ามามีบทบาท เช่น เกษตรจะเข้ามาสนับสนุนทั้งในเรื่องเมล็ดพันธุ์และนวัตกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาอาชีพให้เกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป
นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า โครงการที่จังหวัดเข้ามาร่วมงานด้วยนี้ไม่เพียงจะบรรเทาทุกข์คนตกงานจากโควิด-19 เท่านั้น แต่เป็นโครงการพัฒนาอาชีพที่จะมีความยั่งยืนตามแนวพระราชดำริได้ต่อไป เพราะสามารถแก้ปัญหาน้ำพร้อมกับเสริมความสามารถทางอาชีพให้แก่ประชาชนไปพร้อมๆกัน
ด้าน นายพงศ์ภัค สีมี อายุ 26 ปี ชาวอำเภอหนองหาน จ.อุดรธานี กล่าวว่า เขาตกงานจากอาชีพรับจ้างกรีดยางในจังหวัดสงขลา จึงต้องกลับบ้านเกิดอุดรธานี และสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ในตำแหน่งอาสาพัฒนาหมู่บ้าน (อสพ.)
“ตอนแรกผมก็ไม่รู้อะไร แต่พอมาร่วมแล้วก็ดีกว่าที่คิดเพราะมีงานทำชั่วคราว แล้วยังได้เข้าอบรม ทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องพระราชดำริ กับเทคนิคการเกษตรอย่างระบบน้ำหยดพลังแสงอาทิตย์ เทคนิคการปลูกผักที่ตลาดต้องการ เป็นประโยชน์กับผมและชุมชนมาก”
ในสภาวการณ์ที่ประเทศ และคนไทยเผชิญวิกฤติและความยากลำบากเช่นที่เห็น อย่างน้อย เราๆท่านๆก็ยังมีมูลนิธิ หลายแห่งที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือ ภายใต้พระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร.
ทีมเศรษฐกิจ