น.ส.นฤภัทร อมรโฆษิต เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้คงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บจากประชาชนงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.63 จำนวน 11.60 สตางค์ (สต.) ต่อหน่วย
ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.64 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คาดว่าจะใช้เงินรวม 6,869 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการเพื่อรักษาค่าเอฟทีให้อยู่ในระดับเดิม “เพื่อดูแลค่าครองชีพประชาชนและช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น กกพ.จึงมีมติให้คงค่าเอฟทีอีกงวด ส่งผลให้มีการตรึงค่าเอฟทีในระดับนี้ ตั้งแต่ต้นปี 62 รวม 4 งวดหรือตลอด 16 เดือน”
ทั้งนี้ การบริหารจัดการค่าเอฟทีงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.63 ได้นำเงินมาจากค่าปรับกรณีโรงไฟฟ้าที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามสัญญาและกรณีขาดส่งก๊าซธรรมชาติ 264.97 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 6,604 ล้านบาท มาจากการกำกับฐานะการเงิน ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ กกพ.กำหนด ซึ่งเป็นผลมาจากการประมาณการค่าเชื้อเพลิงงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค.62) เทียบกับราคาเชื้อเพลิง ณ ปัจจุบันยังต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ทำให้มีเงินคงเหลือในการบริหารจัดการค่าเอฟที สำหรับปัจจัยที่ส่งผลดีต่อค่าเอฟที ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยนเดือน ก.ย. อยู่ที่ 30.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ หรือแข็งค่าขึ้นกว่าช่วงที่ประมาณการ งวดเดือนก.ย.-ธ.ค.นี้ ซึ่งใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเมื่อ พ.ค.ที่ 31.80 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ราคาเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้า คาดว่างวดถัดไปจะอยู่ที่ 266.69 บาทต่อล้านบีทียู ลดลงจากงวดที่ผ่านมา 23.70 บาทต่อล้านบีทียู ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยโรงไฟฟ้าเอกชน ลดลงจากงวดที่ผ่านมา 267.71 บาทต่อตัน ขณะที่ความต้องการพลังงานไฟฟ้าเดือน ม.ค.-เม.ย.63 เท่ากับ 65,724 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 2% จาก ก.ย.-ธ.ค.62 ตามความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเพราะเข้าสู่ฤดูร้อน ขณะที่ค่าเอฟทีงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.63 กกพ. ต้องติดตามราคาเชื้อเพลิงที่ผลิตไฟฟ้าอาจมีทิศทางลดลง รวมทั้งปัจจัยอื่นมาพิจารณาประกอบกัน.