ปลัดพาณิชย์ถกด่วน “วอร์รูม”ภาครัฐ-เอกชนแก้เกมถูกตัดจีเอสพี ยันผู้ส่งออกส่วนใหญ่กระทบน้อย เว้นสุขภัณฑ์เซรามิกที่โดนหนัก เสียภาษีสูง 26% นำผลสรุปรายงาน “กรอ.พาณิชย์” ต้น พ.ย.นี้ เตรียมทำตลาดเพิ่มเติม ขณะที่ผู้ส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์รับช็อก!! ปรับตัวไม่ทัน เสนอพาณิชย์ต่อรองให้ยืด ตัดสิทธิไปสิ้นปี และอย่าตัดเครื่องใช้ไฟฟ้าเหตุมาตรฐานแรงงานสูงอยู่แล้ว ด้าน ธปท.มองกระทบส่งออกไม่มาก
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมวอร์รูมประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนในกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นไปตามข้อสั่งการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ที่ให้ตนประชุมวอร์รูมร่วมกับภาคเอกชน เพื่อรับฟังผลกระทบและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนในการแก้ปัญหา หรือลดผลกระทบจากการถูกตัดสิทธิ ทั้งนี้ ภาคเอกชนส่วนใหญ่เห็นว่า การส่งออกสินค้ากลุ่มที่ถูกตัดจีเอสพีจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก มีเพียงบางรายการเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบมาก เพราะต้องกลับไปเสียภาษีนำเข้าในอัตราสูง เช่น กลุ่มสุขภัณฑ์เซรามิก ที่จะกลับไปเสียภาษีสูงถึง 26% จากที่ไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ภาคเอกชนเห็นว่า สินค้าของตนยังสามารถทำตลาดประเทศอื่นๆได้อีกมาก ทดแทนการส่งออกไปสหรัฐฯ
“ภาคเอกชนส่วนใหญ่บอกว่า ได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะได้ปรับตัวด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มความสามารถในการแข่งขันมานานแล้ว เนื่องจากรู้ว่าวันหนึ่งสหรัฐฯต้องตัดสิทธิจีเอสพีไทย และบอกอีกว่าสินค้าของตนเหมาะกับตลาดไหนอีกบ้าง นอกเหนือจากสหรัฐฯ”
สำหรับผลการประชุมครั้งนี้ จะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ที่มี รมว.พาณิชย์เป็นประธานต้นเดือน พ.ย.นี้ เพื่อนำมาเป็นแผนปฏิบัติในการแก้ปัญหาการถูกตัดสิทธิจีเอสพี และแผนการทำตลาดสินค้ากลุ่มที่ถูกตัดสิทธิ ซึ่งจะทำควบคู่ไปกับแผนการเจาะตลาดเป้าหมาย 10 แห่ง ที่กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการอยู่ เช่น ในตลาดจีน หนึ่งในตลาดเป้าหมายที่ไทยต้องการเจาะ หากเห็นว่าสินค้ากลุ่มที่ถูกตัดจีเอสพีรายการใดเหมาะกับการบุกตลาดจีนบ้าง ก็จะผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น เป็นต้น
ด้านนายกฤษดา ทรัพย์ทวยชน รองประธาน สมาคมอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และ โทรคมนาคมไทย กล่าวว่า กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะต้องกลับมาเสียภาษีเฉลี่ยที่ 5% จากที่ไม่เสียภาษีเลย และจากการหารือกับผู้นำเข้า ส่วน มากบอกว่าหนักใจ และอาจชะลอการนำเข้าได้ และการที่ไทยถูกตัดจีเอสพี ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ที่มีแผนย้ายฐานผลิตจากจีนมาไทย เพื่อหนีภัยสงครามการค้าอาจชะลอการย้ายฐาน หรือไปประเทศ เพื่อนบ้านไทยแทนสูญเสียเงินลงทุนจากต่างประเทศ และอาจทำให้การลงทุนในเขตพัฒนา เศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้รับผลกระทบ
“กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีมาตรฐานแรงงานสูงอยู่แล้ว เพราะผู้ซื้อต้องมาตรวจโรงงาน และมาตรฐานแรงงาน จึงเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ที่เจรจาขอคืนสิทธิกับสหรัฐฯ ให้นำเสนอว่า ควรตัดจีเอสพีเฉพาะกลุ่มสินค้า แต่ไม่ควรตัดกลุ่มของเราที่มีมาตรฐานแรงงานสูง รวมถึงเสนอให้เจรจากับสหรัฐฯอย่าเพิ่งตัดสิทธิเดือน เม.ย.63 แต่ควรให้โครงการจีเอสพีปัจจุบันสิ้นสุดลง หรือจบเดือน ธ.ค.63 ก่อนแล้วค่อยตัด เพราะไทยเพิ่งได้รับการต่ออายุจีเอสพี ถึงสิ้นปี 63 แล้วอยู่ๆมาตัดกลางปี ผู้ส่งออก ผู้นำเข้าช็อก ปรับตัวไม่ทัน”
ขณะที่นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเดือนก.ย.62 ยังชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัว จนกดดันต่อการส่งออก ทำให้ส่งออก เดือน ก.ย.ติดลบ 1.5% หรือมีมูลค่าส่งออกที่ 20,397 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทำให้ทั้งไตรมาส 3 การส่งออกไม่โตหรือขยายตัว 0% และมีมูลค่าส่งออก 63,295 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ การลดลงของการส่งออกยังไม่ใช่ผลจากการตัดสิทธิจีเอสพี เนื่องจากรายการสินค้าที่ถูกตัดสิทธิมีไม่มาก “การตัดสิทธิจีเอสพีนั้น ไม่ได้มีผลต่อการส่งออก ในภาพรวมมากนัก จากการวิเคราะห์ของกระทรวงพาณิชย์ พบว่าหากมีการขึ้นภาษีโดยเฉลี่ย 5% จะกระทบการส่งออกไทยปีนี้ลดลง 0.01% เท่านั้น โดยเป็นสินค้าในกลุ่มอาหาร ขณะเดียวกัน แม้จะมีประเด็นสหรัฐฯตัดสิทธิจีเอสพีคาดว่าการส่งออกไตรมาส 4 จะมีโอกาสเร่งตัวขึ้น”
นายดอน กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2.9% เนื่องจากการส่งออกและการบริโภคภาคเอกชนไม่ได้ขยายตัวตามเป้า โดยแนวโน้มการส่งออก 9 เดือนแรกของปี 62 หดตัว 2.7% และหากจะให้การส่งออกทั้งปีหดตัวเพียง 1% ตามที่ ธปท.คาดหมายการส่งออกไตรมาส 4 จะต้องขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ส่วนจะมีผลให้เศรษฐกิจทั้งปีเป็นไปตามเป้า 2.9% หรือไม่ ต้องขอดูภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาส 4 อีกครั้ง ซึ่งคาดหวังว่าไตรมาส 4 เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นจากมาตรการภาครัฐ ส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงนั้น เป็นไปตามคาดการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และไม่ได้เซอร์ไพรส์ตลาด.