นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทีมวิจัยของตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทำการรวบรวมสถิติข้อมูลพบว่า ดัชนีหุ้นไทยตลอดช่วง 13 ปีที่ผ่านมา หากลงทุนตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน จะให้ผลตอบแทนสูงสุดติดอันดับ 4 ของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยให้ผลตอบแทนสูงถึง 143% วัดจากดัชนีราคาตลาดที่ปรับตัวขึ้น
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องการให้นักลงทุนมีการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยมองว่าในระยะข้างหน้านี้ ตลาดหุ้นไทยจะยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ สถานการณ์การประท้วงในฮ่องกง เงื่อนไขการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ (เบร็กซิต) ฯลฯ ที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะมีผลต่อการขึ้นลงของตลาดและราคาหุ้น แต่หากนักลงทุนมีการลงทุนระยะยาวมากขึ้นถือเป็นทางเลือกที่จะทำให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีในวัยเกษียณ
นายศรพล กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความน่าสนใจ จากผลที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งระยะสั้นและยาว โดยกลุ่มธุรกิจหรือหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน เช่น หุ้นที่อยู่ในการคำนวณดัชนี SET WB หรือดัชนี SET Well-Being Index ซึ่งมีหุ้น 30 หลักทรัพย์ ใน 7 หมวดธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย หมวดธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) หมวดธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) หมวดธุรกิจแฟชั่น (Fashion) หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) หมวดธุรกิจการแพทย์ (Health Care Service) หมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการ (Tourism & Leisure) และหมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) รวมทั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Inflastruture Fund) หุ้นที่จ่ายปันผลสูง และหุ้นที่มีรายได้มาจากประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม)