นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยหลังหารือร่วมกับนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่สำนักงาน ส.อ.ท. ว่า
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยหลังหารือร่วมกับนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่สำนักงาน ส.อ.ท. ว่า ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯเข้าหารือกับ ส.อ.ท.เพื่อรับฟังเสียงสะท้อน โดยเฉพาะด้านปัญหาที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือ โดย ส.อ.ท.ได้ เสนอโมเดล เมดอิน ไทยแลนด์ ให้กระทรวงฯไปประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้โครงสร้างพื้นฐานของไทยทุกโครงการที่กำลังเดินหน้าใช้แบรนด์ไทย (โลคอลคอนเทนต์) ในการก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 90% โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ สนามบิน ท่าเรือ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่คาดว่าจะมีการก่อสร้างในเร็วๆนี้ เพื่อกระตุ้นการผลิต การใช้สินค้าในประเทศ โดยมีภาครัฐเป็นผู้นำร่อง เพราะปัจจุบันอุตสาหกรรมสามารถผลิตสินค้าที่ครอบคลุมแทบทุกประเภทแล้ว
นอกจากนี้ทาง ส.อ.ท.ยังได้สะท้อนปัญหาการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศในอาเซียน อาทิ เวียดนามที่ออกมาตรการตรวจสอบรถยนต์จนกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของไทย ซึ่งประเด็นนี้ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ไปพิจารณามาตรการที่จะใช้ในการปกป้องผู้ประกอบการไทยเช่นเดียวกับที่เวียดนามปกป้องผู้ประกอบการเวียดนาม คาดว่าจะได้ความชัดเจนเร็วๆนี้
ขณะเดียวกันนางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงการพบหารือระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ ส.อท กับ ธปท.เกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงิน มาตรการและแนวนโยบายทางการเงิน เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยภาคเอกชนสนับสนุนการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ระดับ 1.50% ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค และต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ
ขณะที่ประเด็นที่ 2 การแข็งค่าของเงินบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2562 เงินบาทแข็งค่าประมาณ 5% เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และช่วง 7 เดือนแรกของปีไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 17,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่การลงทุนอยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยหลายฝ่ายช่วยกันแก้ไข “ธปท.ยืนยันว่าในช่วงที่ผ่านมาได้ดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ สะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกเพ่งเล็งว่าแทรกแซงค่าเงินเพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางด้านการค้า”.