แบรนด์เนมหรูทะลัก

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

แบรนด์เนมหรูทะลัก

Date Time: 16 ก.ค. 2562 05:01 น.

Summary

จากความต้องการสินค้าแบรนด์เนมหรูราคาแพง ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าอย่างผิดกฎหมายมาต่อเนื่อง โดยสถิติการจับกุมสินค้าลักลอบหนีภาษี ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

Latest

ม.หอการค้าไทยเปิดโผธุรกิจรุ่ง–ร่วงปี 69 “ดิจิทัล-คลาวด์” มาแรงสุด

จากความต้องการสินค้าแบรนด์เนมหรูราคาแพง ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าอย่างผิดกฎหมายมาต่อเนื่อง โดยสถิติการจับกุมสินค้าลักลอบหนีภาษี ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2557-2561 สามารถ จับกุมสินค้าแบรนด์เนมลักลอบหนีภาษีได้ถึง 605 คดี หรือคิดเป็น 42% ของคดีลักลอบ ซึ่งมีจำนวนเงินหลายพันล้านบาท

โดยสินค้าที่กรมศุลกากรสามารถจับกุมได้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่เสียภาษีในอัตราที่แพงมาก เช่น กระเป๋าและเครื่องหนังเสียภาษีในอัตรา 20% นาฬิกาข้อมือ 5% รองเท้า 30% และเสื้อผ้า 30% เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว สินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ยังมีภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) อีก ในอัตรา 7% ของราคาสินค้า เนื่องจากจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในประจำวัน

ดังนั้น จึงเกิดกลุ่มพ่อค้า-แม่ค้า ที่มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ แอบลักลอบนำเข้าสินค้าเหล่านี้เข้ามาขายในประเทศไทยเพื่อหวังกำไรอย่างงาม โดยอาสาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าเหล่านี้ ขณะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ และนำเข้ามาขายให้กับลูกค้าที่ไทย ซึ่งไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ

โดยจะเรียกสินค้าเหล่านี้ว่า สินค้า “พรีออเดอร์” หรือ สินค้าที่มีการจองล่วงหน้าตามคำสั่งซื้อ

ขณะที่พ่อค้า-แม่ค้าที่รับสินค้าพรีออเดอร์ จะมีวิธีการที่แยบยลในการตบตาเจ้าหน้าที่ เพื่อนำสินค้าแบรนด์หรูเล็ดลอดเข้ามายังประเทศไทยได้โดยไม่ต้องเสียภาษี

สำหรับวิธีการลักลอบนั้น จะมีการสรรหาวิธีการรูปแบบใหม่ ที่สลับซับซ้อนมากขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ และส่วนมากทำเป็นกระบวนการ เช่น การแยกกล่องหรือบรรจุภัณฑ์ออกจากตัวสินค้า โดยให้คนหนึ่งสวมสินค้านั้นติดตัวเสมือนเป็นสินค้าที่ใช้แล้ว ส่วนกล่องสินค้าจะถูกพับใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง เป็นต้น

ถ้าใครถูกจับหลายครั้ง กรมศุลกากรจะขึ้นบัญชีดำ หรือ “แบล็กลิสต์” ซึ่งประเมินว่า อาจมีคนถูกขึ้นบัญชีดำกับกรมศุลกากรในขณะนี้ มากกว่า 100 คน

พวกกลุ่มรับพรีออเดอร์จึงปรับเปลี่ยนวิธีการ โดยเปลี่ยนให้คนอื่นมาหิ้วสินค้าเข้าไทยแทน หรือใช้วิธีต่อเที่ยวบินไปยังประเทศเพื่อนบ้าน หลายๆทอด ก่อนจะเดินทางเข้าประเทศไทย เช่น แวะ สปป.ลาว หรือกัมพูชา หรือฝากสินค้าให้กับพรรคพวกเพื่อรอส่งต่อมายังประเทศไทย

ทำให้ปัญหา “การลักลอบนำเข้าสินค้า” ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา สร้างความเจ็บปวดให้กับรัฐบาล ในฐานะที่เป็นแหล่งสินค้าเถื่อน ไม่เสียภาษีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ทำให้บริษัทเจ้าของแบรนด์เนมหรูที่จะเปิดสาขาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เข้าร้องเรียนให้รัฐบาลเร่งขจัดปัญหาดังกล่าวให้สิ้นซาก

โดยในช่วงที่ผ่านมา มักจะมีกระแสข่าวปลด “อธิบดีกรมศุลกากร” ออกจากตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่สามารถหาวิธีรับมือกับปัญหาที่คาราคาซังเหล่านี้ได้

ดังนั้น ภายใต้การทำงานของ “นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ” อธิบดีกรมศุลกากรคนปัจจุบัน จึงมีนโยบายที่จะปราบปรามสินค้าแบรนด์เนมพรีออเดอร์เหล่านี้อย่างเข้มข้น เพื่อตัดตอนผู้กระทำความผิด เพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล และสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการในประเทศที่ต้องสูญเสียเม็ดเงินจากพวกลักลอบนำเข้าของเถื่อน

แต่เมื่อพิจารณาจากผลการจับกุมของกรมศุลกากรในเดือน มิ.ย. พบว่า มีสินค้าลักลอบหนีภาษีที่ถูกจับกุมได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะด่านศุลกากร “สนามบินสุวรรณภูมิ” จับกุมผู้กระทำความผิดได้มากถึง 45 คดี รวมมูลค่าสินค้าสูงถึง 42.94 ล้านบาท จากเดิมก่อนหน้า มียอดการจับกุมเพียง 20 คดีต่อเดือนเท่านั้น

นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ระบุว่า สินค้าหนีภาษีที่ทะลักเข้าประเทศไทยในช่วงนี้ เกิดจาก “เงินบาทแข็งค่า” ซึ่งเรื่องดังกล่าวนอกจากกระทบกับผู้ส่งออกและภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยังส่งผลทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปรับตัวลดลงด้วย

จากกรณีดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มคนที่มีเงินมีความต้องการสินค้าแบรนด์เนมสูงขึ้น เพราะจากเดิมหากต้องการซื้อกระเป๋าหรู ราคา 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ผู้ซื้อต้องควักเงินบาท 84,000 บาท (42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) แต่ปัจจุบัน กระเป๋าใบเดียวกัน ราคาเท่ากัน จะใช้เงินเพียง 64,000 บาท (32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ถูกลง 20,000 บาท ซึ่งยั่วน้ำลายเศรษฐีขึ้นมาทันที

ดังนั้น โจทย์ใหญ่ที่กรมศุลกากรจะเดินหน้าปราบปรามผู้กระทำผิดให้หมดไปจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

แต่มันคือปัญหาระดับชาติ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ดูแลค่าเงินบาทโดยตรง ยังทำอะไรไม่ได้เลย เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ยิ่งจูงใจให้อยากเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์เนมหรูมากยิ่งขึ้นเท่านั้น.

นันท์ชยา ชื่นวรสกุล


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ