นายชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยผลการตรวจสอบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ ศุลกากร ประจำเดือน มิ.ย. พบการกระทำความผิดรวม 1,798 แฟ้มคดี รวมมูลค่าของกลาง 514 ล้านบาท แบ่งเป็น คดีลักลอบ 451 คดี มูลค่าของกลาง 73.45 ล้านบาท คดีหลีกเลี่ยงอากร 1,233 คดี มูลค่าสินค้า 200 .59 ล้านบาทเป็นต้น โดยในส่วนคดีลักลอบสินค้าที่จับกุมได้มากที่สุด คือ สินค้าแบรนด์เนม จำนวน 45 คดี มูลค่าของกลาง 42.94 ล้านบาท ตามด้วยสินค้าสุรา เบียร์ บุหรี่ 92 คดี มูลค่าของกลาง 2.97 ล้านบาท สินค้าพืชผลทางการเกษตรและเนื้อโค กระบือ 29 คดี มูลค่าของกลาง 1.92 ล้านบาท และเดิมจำนวนคดีลักลอบนำเข้าสินค้าแบรนด์เนม อยู่ที่เดือนละ 20 คดี หรือ 20 ล้านบาทต่อเดือน แต่เดือน มิ.ย.จับกุมได้ถึง 45 คดี ถือว่ามากกว่าปกติ สาเหตุมาจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทำให้พ่อค้าแม่ค้า ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ นิยมบินไปต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบยุโรป เพื่อซื้อสินค้าแบรนด์เนม นำกลับมาขายที่ไทย เพราะได้กำไรจำนวนมาก
นายธาดา ชุมไชโย ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร กล่าวว่า ผลการจับกุมคดีลักลอบขนส่งสินค้า เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีการลักลอบนำเข้านาฬิกาหรูมากที่สุด เช่นนาฬิกาปาเต๊ะ ฟิลลิปราคาเรือนละ 800,000 บาท ถ้าเสียภาษีถูกต้อง คือภาษีนำเข้า 5% ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% รวมแล้วต้องเสียภาษี 12% หรือเสียภาษีเกือบ 100,000 บาทต่อเรือน รองลงมาคือ กระเป๋าแบรนด์เนม เช่น ภาษีนำเข้า 20% แวต 7% หรือรวม 27% ถ้าราคากระเป๋า 100,000 บาท ต้องเสียภาษี 27,000 บาท
“ขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ หากมีผู้แอบอ้างชื่อกรมฯเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มมิจฉาชีพ แอบอ้างชื่อกรมฯ หลอกลวงผู้เสียหาย อาทิ โทรศัพท์ไปแจ้งแก่ผู้เสียหายว่ามีพัสดุส่งทางไปรษณีย์มาจากต่างประเทศ แต่ติดปัญหาด้านภาษีกับกรมฯและแจ้งให้จ่ายเงินเพื่อเคลียร์ปัญหา ไม่เช่นนั้นจะถูกยึดพัสดุ ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะมีการคิดภาษีมาจากต้นทางแล้ว”.