การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 34 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–23 มิถุนายน 2562
การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 34 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–23 มิถุนายน 2562... เพื่อหารือกำหนดท่าทีร่วมอาเซียนในการผลักดันการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้สำเร็จภายในปี 2562
นำเสนอแนวคิดสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่...การเตรียมอาเซียนรับมืออนาคต, ความเชื่อมโยง อาทิ ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน และการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ
กรณีศึกษาก่อนหน้าในศึกช้างชนช้างที่ทำให้โลกสั่นไหว...เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศปรับกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจีน จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 อย่างไม่ไว้หน้าสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน
หลังจากที่สองประเทศเคยเจรจากันทั้งในและนอกประเทศมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่สุดท้ายกลายเป็นสงครามการค้า “เทรดวอร์” ที่จีนตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอเมริกาแบบไม่เห็นแก่หน้าทรัมป์ด้วยเหมือนกัน...จากนั้นคลื่นสังหารลูกใหม่อเมริกาก็ตามมา ด้วยการสั่งห้ามธุรกิจสื่อสารในประเทศทำการค้ากับค่ายสื่อสาร “หัวเว่ย” ที่กำลังทรงอิทธิพลบนโลกไซเบอร์ขณะนี้...ปะทุสงคราม “เทควอร์” อีกกระฉอกหนึ่ง
ทำเอานักวิเคราะห์วิกฤติหลายราย พยายามจับตามองพร้อมสรุปชนวนสำคัญนั้น น่าจะมาจากอเมริกาเกิดหวั่นไหวในเทคโนโลยีหัวเว่ยจะก้าวแซงหน้ายักษ์ใหญ่อย่างตน
ระเบิดสังหารเทควอร์จึงพร้อมระเบิด โดยน้ำมือมหาอำนาจเจ้าเก่าสะเทือนไปทั้งโลก...ไม่เว้นไทยคู่ค้าของ 2 ประเทศที่กำลังฮึ่มๆใส่กัน เข้าตำราช้างสารชนกันหญ้าแพรกย่อมแหลกลาญ
การส่งออกสินค้าไทยชะลอตัวถึงขั้นติดลบ นักลงทุนจีนชะงักมาลงทุนเพราะไม่มั่นใจเศรษฐกิจจีนที่กำลังแกว่ง หนาวๆร้อนๆไปถึงวงการธุรกิจการท่องเที่ยว องค์กรเอกชนทัวร์ไทยออกสัญญาณเตือน อ้างสถิติกระทรวงการท่องเที่ยวฯระบุ 3 เดือนแรกปีนี้ ทัวร์จีนหดร้อยละ 1.72 เหลือ 3.12 ล้านคน เมื่อเทียบกับปีก่อน
แต่ท่ามกลางกระแสคลื่นวิกฤตินี้... “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” หรือ “ททท.” กลับยิ้มรับกับกระแสเทรดวอร์ ที่หลายฝ่ายกำลังสั่นหวั่นไหวและเวท แอนด์ ซี กับสถานการณ์
ททท.เห็นต่างเป็นว่า “ไทยจะได้อานิสงส์เต็มๆ จากมังกรจีนหัวอนุรักษนิยม ผู้พร้อมแสดงสัญลักษณ์ตอบโต้คู่กรณี ด้วยวิธีงดเดินทางไปทัวร์อเมริกาจากที่เคยนิยม ประกอบกับเงินหยวนอ่อนค่าพ่นพิษ ให้เกิดปัจจัยลบในความไม่คุ้มค่ากับการจะเดินทางไกลไปอเมริกา”
สู้มาไทยไม่ได้ ใกล้และคุ้มค่ากว่า!...แถมยังมองไกลไปถึง “ครอบครัวจีน” ที่เคยส่งลูกหลานไปซัมเมอร์แคมป์ที่อเมริกา ก็จะเบนเข็มมาไทยเพื่อตอบโต้อเมริกาและหนีวิกฤติค่าเงินหยวน
นอกจากนี้ยังจะเจาะกลุ่มตลาดเศรษฐีจีน ตามแนวถนัดในการโปรยข่าวถึงการได้ลงนามความร่วมมือด้านท่องเที่ยวไว้แล้ว (อีกแล้ว) กับเอเย่นต์นำเที่ยวรายใหญ่จีน 2 เอเย่นต์ บอกจะอุ้มมาเที่ยวปีนี้ 4 ล้านคน...
“อุ๊แม่เจ้า...!” ผู้สันทัดกรณีแวดวงตลาดการท่องเที่ยววิเคราะห์มองภาพที่เกิดขึ้นอย่างตกใจ
โดยชวนให้คิดตามต่อไปด้วยว่า “ไทย” จะเอา “สินค้าท่องเที่ยว” ใหม่ตัวไหน ที่แปลกและเหมาะกับตลาดไฮเอนด์ ไปนำเสนอขายผ่านบิ๊กเอเย่นต์จีนที่เพิ่งลงนามกัน ทำเอาเอเย่นต์ไทยหลายรายพลอยสงสัย ถึงการไปร่อนหาเศรษฐีจีนตัวจริงจากที่ไหน ที่เคยมีมาบ้างหร็อมแหร็มโดยเครื่องบินส่วนตัว...
นิยมใช้รถทะเบียนทุกคันต้องตอง 8 เลขนำโชคจีน ห้องพักเอ็กเซ็กคูทีฟ หรูหรา โอ่อ่า...อาหารไร้ที่ติชนิดเศรษฐีรับได้ เอเย่นต์ไทยยืนยันกรุ๊ประดับนี้นับจำนวนได้แค่สิบหรือร้อยทริปไม่เกินนี้
ตัวเลข 4 ล้านคนจึงเล็งๆยังไงก็มองไม่เห็นความเป็นจริง ยกเว้นทัวร์กลุ่มปริมาณเหมาโหลอย่างที่ขนกันมานั่นแหละ!
นักวิเคราะห์ตลาดจีนให้ความเห็นว่า มุมที่ ททท.มองต่างอาจมีความเป็นได้ ที่เทรดวอร์จะทำส้มหล่นใส่ท่องเที่ยวไทย แต่กรณีการเกิดปัญหาซ้ำๆซากๆ ด้านความปลอดภัย การเอารัดเอาเปรียบ ฉ้อโกงและปล้นจี้ ตลาดจีนถึงรู้สึกเอือมระอาพากันหนี ไม่ต่างการตั้งกำแพงภาษี ทรัมป์ ที่นำมาสกัดกั้นกำแพงเมืองจีน สี จิ้นผิง
“ที่ควรมองให้ลึกกว่านี้ คือสงครามการค้าย่อมก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตึงเครียดขึ้นในจีน ย่อมกระทบถึงครัวเรือนให้ต้องออมเงินตราไว้ยังชีพ มากกว่าเป็นต้นทุนในการท่องเที่ยว แม้จะคุ้มค่ากับเงินหยวนในจุดหมายใกล้ๆ”...นี่คือ “ตรรกะ” ตามความเป็นจริง การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องของมนุษย์ทั้งโลก
นักวิเคราะห์ยังบอกอีกว่า การจะมองปรากฏการณ์ส้มหล่นใส่ท่องเที่ยวไทย ต้องมองเผื่อถึงเพื่อนบ้าน “หนึ่งเดียวอาเซียน” อย่างมีสปิริต เพราะหลายประเทศภายใต้เสื้ออาเซียน ต่างย่อมมีนัยแห่งการแข่งขันเพื่อหวังส่วนแบ่งจากเค้กก้อนโตอย่างตลาดจีนเฉกเช่นเดียวกัน
ไม่ว่า...ทั้งในช่วงภาวะปกติ และวิกฤติเทรดวอร์อย่างลูกผีลูกคนอยู่นี้
พลิกแฟ้มข้อมูลหยิบสถิติให้ดูเปรียบเทียบ ปีที่แล้วไทยมีนักท่องเที่ยว 38.27 ล้านคน เพิ่มร้อยละ 7.54 เป็นมังกรจีน 10.53 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.44 เวียดนามที่นิตยสาร Rough Guide จัดให้เป็น 1 ใน 20 ประเทศโลกที่สวยสุด มีนักท่องเที่ยว 15.5 ล้านคน เพิ่มร้อยละ 35 โดยจีนครองตลาดอันดับ 1
สิงคโปร์ที่มีพื้นที่ใกล้เคียงเกาะภูเก็ต ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยว 18.5 ล้านคน เพิ่มร้อยละ 6.2 สูงสุดร้อยละ 6 เป็นทัวร์จีน 3.4 ล้านคน รองลงมาคืออินเดีย 1.4 ล้านคน
คาดการณ์ว่า...ในปี 2562 รวมทุกตลาด 19.2 ล้านคน เพิ่มร้อยละ 4
ส่วนมาเลเซียปีเดียวกันมีนักท่องเที่ยว 33.1 ล้านคน รวมตลาดจีนที่ต้องการมาสัมผัสวัฒนธรรมคนมาเลย์เชื้อสายจีน ปีนี้ยังเป็นเจ้าภาพจัดประชุมท่องเที่ยวโลก ครั้งที่ 5 ขององค์การท่องเที่ยวโลก ที่รัฐซาราวัก และเตรียมความพร้อมจัดงาน “Visit Malaysia Year 2020” หลังรัฐบาลได้ประกาศในตลาดโลกไว้ก่อนแล้วถึง 2 ปี เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตลาดกำไว้ในมือ...น่าสนใจว่าในปีเดียวกันนี้...“ท่องเที่ยวไทย” จะครบ 60 ปี แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่?...ชวนให้รู้สึกวังเวงหัวใจ
หันไปดูฟากฝั่ง สปป.ลาว สถิติอยู่ที่ 4 ล้านคน โตเฉลี่ยร้อยละ 12.66 ตั้งแต่ปี 2559 ปีถัดมาขยับเป็น 4.8 ล้านคน และดูจะมั่นใจมากๆว่าในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 5.8 ล้านคน โดยมีฐานทัวร์จีนเมื่อปี 2557 อยู่ที่จำนวน 42.24 แสนคน
และมาถึงคิว...กัมพูชาปี 2561 มีคนไปเที่ยว 6.20 ล้านคน โตขึ้นร้อยละ 10.7 ทัวร์จีนมากเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 2.02 ล้านคน เพิ่มร้อยละ 67.2 ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ร้อยละ 32.6 ขณะเมียนมาซึ่งกำลังพัฒนาการท่องเที่ยวเต็มลูกสูบ...แนวโน้มปีนี้จะแตะเพดาน 7.5 ล้านคน โดยตลาดทัวร์จีนได้เข้าไปสอดแทรกหลังท่องเที่ยวไทยอ่อนแอ
หนุนให้เอเย่นต์จีนและไทยขายจีน จับมือย้ายฐานไปปักหลักที่เมืองหลวงเก่าย่างกุ้งแทนตั้งแต่ปีก่อนหน้า...เปิดมุมมองครบด้านทุกมิติ เมื่อมองสัดส่วนการขยายตัวตลาดจีน ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านแล้ว สามารถตอบโจทย์ได้ทันทีว่า...ทุกประเทศอาเซียนต่างให้ความสำคัญกับ “จีน” หลังวิกฤติเทรดวอร์...
แล้ว...ก็พร้อมใจกันที่จะเขย่าต้นให้ “ส้มหล่น” ใส่ท่องเที่ยวบ้านเขาด้วยเหมือนกัน
เพียงแต่พวกเขามีความเหมือนที่แตกต่าง...ไม่เอาแต่ “ฝัน” เหมือนใคร (บางคน) ก็ไม่รู้ นี่แค่เรื่องท่องเที่ยวด้านเดียวเท่านั้น หากแต่ในเวทีอาเซียนยังมีปัจจัยรอบด้านหลากมิติให้หวนคิดคำนึงถึง.