นายสุจิตต์ เชาว์ศิริกุล รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย รฟท.เปิดเผยภายหลังร่วมหารือกับตัวแทนกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่ม CPH) เกี่ยวกับแนวทาง
นายสุจิตต์ เชาว์ศิริกุล รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย รฟท.เปิดเผยภายหลังร่วมหารือกับตัวแทนกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่ม CPH) เกี่ยวกับแนวทางดำเนินการเตรียมการส่งมอบพื้นที่เพื่อใช้ก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ว่า พื้นที่ที่ใช้ก่อสร้างในโครงการทั้งหมดจะมีพื้นที่ทั้งสิ้นรวมว่า 10,000 ไร่ ซึ่งจะมีพื้นที่ประมาณ 80% ที่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ CPH เข้าดำเนินการก่อสร้างได้เลย หลังมีการเซ็นสัญญาร่วมกันทั้งสองฝ่าย
แต่อย่างไรก็ตาม มีพื้นที่ประมาณ 20% หรือประมาณกว่า 2,000 ไร่ ที่ต้องเร่งเคลียร์ปัญหา เพื่อให้ส่งมอบพื้นที่ได้เร็วที่สุด ประกอบด้วย พื้นที่ที่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืน 12 ฉบับ เนื้อที่ประมาณ 850 ไร่ ซึ่งส่วนนี้ยอมรับว่า CPH มีความกังวลและต้องการให้ภาครัฐเร่งรัดดำเนินการทันที นอกจากนั้น ในส่วนที่เหลือจะเป็นพื้นที่ที่โดนบุกรุกอีกประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งในส่วนนี้รฟท.ยอมรับว่ามีประสบการณ์ในการเจรจากับผู้บุกรุก แต่หากไม่สามารถดำเนินการได้ คงต้องมีการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ที่ติดสัญญาเช่าอยู่ประมาณ 400 ไร่ ที่การรถไฟให้เอกชนเช่ามีสัญญาไว้ในอดีต ซึ่งการเจรจากับผู้เช่าไม่น่ามีปัญหา จะมีเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นสัญญาเช่าเพื่อใช้ที่ดินทำประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค ในส่วนนี้หากจะให้ผู้เช่าหรือย้ายต้องมีการแจ้งล่วงหน้าตามข้อสัญญาซึ่งจะต้องไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ การรถไฟตั้งเป้าหมายว่าในส่วนของ 20% ที่ต้องเร่งเคลียร์พื้นที่ เพื่อการส่งมอบนั้น จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี โดยในส่วนของการเวนคืนกับสัญญาเช่าไม่น่ามีปัญหา อาจจะต้องไปดูในส่วนของพื้นที่บุกรุกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จยากหรือง่ายเพียงใด
“การรถไฟได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลปัญหาดังกล่าวขึ้น และเตรียมที่จะนำทีมสำรวจลงพื้นที่จริงเพื่อจะดูปัญหา โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่บุกรุก โดยได้มีการชวนสื่อมวลชนลงพื้นที่สำรวจด้วย”
สำหรับการลงนามร่วมกันระหว่างการรถไฟและ CPH ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น คาดการณ์ว่าจะมีการดำเนินการในเดือน ก.ค. หลังจากที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ชุดใหญ่) จะมีการประชุมและอนุมัติผ่านผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในโครงการดังกล่าว ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้.