“คลัง” ประเมินงบนโยบายสวัสดิการรัฐบาลใหม่ที่ต้องใช้ จากที่ได้หาเสียงไว้ในช่วงที่ผ่านมา พบต้องแจกเงินเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท แต่คงต้องดูเงินก้นคลังก่อนว่าจะทำได้จริงมากน้อยแค่ไหน
“คลัง” ประเมินงบนโยบายสวัสดิการรัฐบาลใหม่ที่ต้องใช้ จากที่ได้หาเสียงไว้ในช่วงที่ผ่านมา พบต้องแจกเงินเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท แต่คงต้องดูเงินก้นคลังก่อนว่าจะทำได้จริงมากน้อยแค่ไหน แจงผู้มีรายได้น้อยไม่ต้องตกใจ ยันเดินหน้าแจกสวัสดิการคนจนต่อเนื่องไม่สะดุด แม้ทำงบปี 63 ไม่ทันเวลา
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สศค.ได้นำนโยบายหาเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ในด้านสวัสดิการมาวิเคราะห์เพื่อเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเข้ามาทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ในช่วงต่อไป ซึ่งจากการวิเคราะห์ พบว่าจากนโยบายสวัสดิการของรัฐบาลใหม่ที่มีการหาเสียง จะต้องใช้เงินในการดำเนินการเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี ไม่รวมนโยบายเดิมที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้
แต่ในทางปฏิบัติจริง สศค.คงต้องรอรัฐบาลใหม่สรุปอีกครั้งว่าจะมีการดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายสวัสดิการอย่างไร เพราะการจะดำเนินการนโยบายใดได้นั้น จะต้องดูเงินในคลังและต้องหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อดูงบประมาณที่จะสามารถใช้ได้ก่อน รวมถึงยังต้องพิจารณาขอบเขตการให้สวัสดิการด้วย อาทิ เรื่องเบี้ยผู้สูงอายุที่ในการหาเสียง ระบุไว้ว่าจะเพิ่มเบี้ยขึ้นเป็น 1,000 บาทต่อเดือน จากขณะนี้ ที่มีการจ่ายลักษณะขั้นบันไดตามอายุ ตั้งแต่ เดือนละ 600-1,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น
นอกจากนั้น จากการวิเคราะห์พบว่า นโยบายสวัสดิการของรัฐบาลใหม่นั้น อาจจะยังเน้นช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเหมือนอย่างที่ผ่านมา ตามสวัสดิการขั้นพื้นฐาน 5 มาตรการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ได้แก่ 1.ให้เงินสวัสดิการเพื่อซื้อของร้านธงฟ้าเดือนละ 200-300 บาท 2.ให้สวัสดิการค่ารถเมล์เดือนละ 500 บาท 3.ให้สวัสดิการค่ารถไฟเดือนละ 500 บาท 4.ให้สวัสดิการค่าใช้จ่ายสำหรับรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) หรือรถไฟฟ้าเดือนละ 500 บาท และ 5.ให้ส่วนลดในการซื้อก๊าซหุงต้ม 45 บาท ยังรวมถึงการให้ความช่วยเหลือผ่านมาตรการเสริมพยุงเศรษฐกิจกลางปี คือ เพิ่มเบี้ยคนพิการอีกเดือนละ 200 บาท ซึ่งจะหมดอายุในเดือนก.ย.นี้ และเพิ่มเงินสำหรับซื้อของร้านธงฟ้าประชา-รัฐเป็นเดือนละ 500 บาท ซึ่งจะหมดอายุในเดือน มิ.ย.นี้ และอาจจะมีนโยบายใหม่เพิ่มขึ้น
“เรื่องนโยบายการให้สวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อยนั้น จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวในคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมอีกครั้ง ว่าแนวทางในช่วงต่อไปเมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามาจะเป็นอย่างไร แต่ขอยืนยันในขณะนี้ว่า การให้สวัสดิการพื้นฐานตามแนวทางที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน อาทิ เงินซื้อของร้านธงฟ้า ค่ารถเมล์ และรถไฟ จะสามารถดำเนินการต่อไป โดยใช้เงินเดือนละ 3,000-4,000 ล้านบาทจากกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ซึ่งเท่าที่ประเมินจนถึงเดือน ก.ย.ยังมีเงินในกองทุนเหลืออีกกว่า 18,000 ล้านบาท”
นายลวรณ กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าว แม้การจัดทำงบประมาณปี 2563 จะไม่เสร็จทันกำหนดภายในเดือน ก.ย.2562 รัฐบาลก็ยังสามารถให้สวัสดิการพื้นฐานกับผู้มีรายได้น้อยต่อไป และรองบในปี 2563 ซึ่งจะได้รับการจัดสรรงบเข้ากองทุนฯ เพิ่มอีกประมาณ 40,000 ล้านบาท ดังนั้น ขอยืนยันว่าการจ่ายสวัสดิการพื้นฐานให้ผู้มีรายได้น้อยนั้นสามารถเดินหน้าต่อไปได้ไม่มีสะดุด แต่สำหรับส่วนของสวัสดิการที่จะเสริมขึ้นมาตามนโยบายที่หาเสียงนั้น คงต้องรอให้รัฐบาลใหม่มาตัดสินใจ
ทั้งนี้ ในส่วนของ สศค.นั้น ได้เตรียมเสนอแนวทางการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจนรอบใหม่ต่อรัฐบาลใหม่ หลังจากที่โครงการเดิมจะหมดอายุในเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการลงทะเบียนใหม่ไปพร้อมกับการปรับสวัสดิการใหม่ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มแจกสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการ เมื่อจนถึงล่าสุดใช้เงินไปแล้ว 140,000 ล้านบาท โดยใช้เงินจากงบประมาณจัดสรรผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงของการหาเสียงที่ผ่านมา นโยบายการให้สวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อย ที่เพิ่มเติมจากนโยบายการให้สวัสดิการที่ให้อยู่ในปัจจุบันของพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย การให้สวัสดิการค่าน้ำเดือนละ 100 บาท ให้สวัสดิการค่าไฟเดือนละ 230 บาท ให้สวัสดิการค่าเช่าบ้านเดือนละ 400 บาท 3 มาตรการนี้ จะให้เพิ่มเป็นเวลา 10 เดือน ต่ออายุวงเงินซื้อของร้านธงฟ้าประชารัฐ 500 บาทต่อเดือน ขณะที่เพิ่มสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ อาทิ ปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็นเดือนละ 1,000 บาท แจกคูปองซื้ออุปกรณ์ผู้สูงอายุ เป็นต้น.