
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้อนุมัติงบประมาณ 3,000 ล้านบาทจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ.2562 เพื่อจัดสรรให้กับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปจัดสร้างฝายในพื้นที่ทั่วประเทศที่มีลักษณะเป็นต้นน้ำ ลำธาร พื้นที่ลาดชัน ที่มีลักษณะเป็นทางน้ำไหล ร่องน้ำและแก่งห้วย หนอง คลอง บึง ฝาย แก้มลิง ฯลฯ ที่จะเป็นการชะลอการไหลของน้ำและกักเก็บน้ำ รวมทั้งเป็นการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ทั้งนี้ การดำเนินงานตามกรอบวงเงินงบประมาณดังกล่าว จะใช้ในการปรับปรุงซ่อมแซมฝายชะลอน้ำหรือเป็นสถานที่กักเก็บน้ำที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรม ที่ได้ดำเนินการก่อสร้างและซ่อมแซมตามโครงการรณรงค์ก่อสร้างและซ่อมแซมฝายต้นน้ำ ลำธาร ตามแนวพระราชดำริ “โครงการ 80 พรรษา 80 ฝาย” เดิม หรืออื่นๆ ที่มีการก่อสร้างไว้ในพื้นที่ต่างๆอยู่แล้วทั่วประเทศ แต่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมให้สามารถใช้งานได้รวมทั้งสิ้น 30,000 แห่ง โดยระยะเวลาในการดำเนินงานให้ดำเนินงานระหว่างวันที่ 8 พ.ค.-30 มิ.ย.2562
โดยการดำเนินการในช่วงเวลาดังกล่าว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมของแหล่งน้ำในชุมชนให้มีความพร้อมสำหรับรองรับปริมาณน้ำฝน ช่วยเพิ่มน้ำต้นทุน เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งและรองรับปริมาณน้ำฝนในฤดูฝนปี 2562 และเตรียมความพร้อมในการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำชุมชนในช่วงหลังฤดูฝน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในพื้นที่ และสร้างจิตสำนึกในการร่วมกันรักษาพื้นที่ต้นน้ำและแหล่งน้ำของท้องถิ่นด้วย
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการดังกล่าว ได้แก่ ทำให้เกิดการชะลอตัวของน้ำ น้ำซึมลงสู่ใต้ดินมากขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศป่าต้นน้ำ ลำธาร และช่วยลดการชะล้างพังทลายของดิน กักเก็บตะกอน ซึ่งจะช่วยยืดอายุของแหล่งน้ำตอนล่างให้ตื้นเขินช้าลง และทำให้มีปริมาณและคุณภาพของน้ำที่ดีขึ้น.