
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเมื่อเดือนพ.ย.68 เกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยช่วงปลายปี 68 ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 6,266 รายทั่วประเทศว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 68 อาจชะลอลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อย จากสถานการณ์ภายในประเทศที่เกิดขึ้น ทั้งความขัดแย้งชายแดน และอุทกภัยในภาคใต้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้สึกและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ แต่บรรยากาศการเฉลิมฉลองส่งท้ายปี ที่กระจายไปทั่วประเทศ ยังคงสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี
สำหรับผลสำรวจ พบว่า ภาคเหนือได้รับความนิยมท่องเที่ยวสูงสุด ตามด้วยภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนกิจกรรมที่จะทำระหว่างการท่องเที่ยว ได้แก่ ท่องเที่ยวธรรมชาติ ผจญภัยและกีฬา, เที่ยวคาเฟ่และร้านอาหารยอดฮิต และพักผ่อนในที่พัก ขณะที่ค่าใช้จ่าย ทั้งค่าเดินทาง, ค่าอาหาร, ค่าที่พัก ค่าซื้อของฝาก ฯลฯ ส่วนใหญ่คาดจะอยู่ที่ 5,000 – 10,000 บาทต่อคนต่อทริป โดยภาคเหนือ และภาคใต้ มีค่าใช้จ่ายมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่มีแผนท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงกังวลเกี่ยวกับความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยว, กังวลการจราจร และความปลอดภัยและอุบัติเหตุ รวมถึงด้านราคาสินค้าและบริการที่อาจสูงขึ้น นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบอีกว่า ประชาชนที่ไม่มีแผนท่องเที่ยว ส่วนใหญ่มีปัญหาการเงินและค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวสูง โดยกลุ่มเกษตรกร, กลุ่มไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุ และกลุ่มอาชีพอิสระ กังวลมากที่สุด โดยเฉพาะภาคใต้ สาเหตุจากอุทกภัยใหญ่
ด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า กรมได้วิเคราะห์ “ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์” พบว่า ธุรกิจนี้เป็นเทรนด์การท่องเที่ยวสำคัญของนักเดินทางยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการสัมผัสประสบการณ์จริง เรียนรู้วัฒนธรรม วิถีชีวิต และธรรมชาติ ทั้งนี้ จากข้อมูลจัดตั้งธุรกิจช่วงหลังโควิด (ปี 65-66) พบว่า มีธุรกิจตั้งใหม่และเงินลงทุนเพิ่มขึ้นมาก และช่วง 5 ปี (ปี 63-67) เติบโตเฉลี่ย 1,040 รายต่อปี
สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ของธุรกิจดังกล่าวในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) ปี 68 พบว่า มี 1,193 ราย ลดลง 241 ราย จากช่วงเดียวกันของปี 67 ที่จดทะเบียน 1,434 ราย และมีทุนจดทะเบียน 2,104 ล้านบาท ลดลง 489 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปี 67 ที่มี 2,593 ล้านบาท แม้จำนวนนิติบุคคลตั้งใหม่ลดลง แต่สัดส่วนเงินลงทุนต่อรายยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ปัจจุบัน มีธุรกิจดังกล่าว 13,691 ราย ทุนจดทะเบียน 55,447 ล้านบาท โดยธุรกิจหลักประกอบด้วย ธุรกิจจัดนำเที่ยว ตัวแทนธุรกิจการเดินทาง และที่พักแรมระยะสั้น
ด้านผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง (ปี 65-67) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไรสุทธิ ตอกย้ำว่า ธุรกิจยังเติบโตต่อได้ แต่ยังเผชิญความท้าทายต่างๆ เช่น ต้นทุนธุรกิจที่สูงขึ้น พฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และการแข่งขันด้านคอนเทนต์ออนไลน์ ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยบางส่วนต้องเร่งปรับตัว พัฒนาคุณภาพบริการและมาตรฐานธุรกิจ ควบคู่กับการใช้การตลาดออนไลน์ คอนเทนต์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมถึงสร้างความร่วมมือกับชุมชน เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง และแข่งขันได้ในเวทีโลก