นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในปี 62 นี้ ธปท.ประมาณการเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวได้ 3.8% แม้จะปรับลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนแต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทย คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งมีปัจจัยจากบรรยากาศด้านการค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้น จากช่วงก่อนหน้านี้ ที่มีผู้ประกอบการทั่วโลกจำนวนมากกังวลต่อมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯและจีนที่จะออกมา
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยหนุนจากการย้ายฐานการผลิตจากบางประเทศเข้ามาในไทย ทำให้มีการขยายการลงทุนเพิ่มเติม และหากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในช่วงเดือน มิ.ย. ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อประมาณการเศรษฐกิจไทยที่ ธปท.ประเมินไว้ที่ 3.8% แต่หากล่าช้าหรือไม่ชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล เช่น เลื่อนออกไปถึง ส.ค.หรือ ก.ย. ก็จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น การลงทุนในโครงการใหม่ๆของภาครัฐ
นายวิรไท กล่าวต่อว่า ขณะที่ความกังวลภายในประเทศในเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะออกมาตรการควบคุมการปล่อยกู้ในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือไม่ เนื่องจากในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ธปท.ยังอยู่ระหว่างให้คณะทำงานเข้าไปตรวจสอบสินเชื่อประเภทนี้อยู่ว่ากระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ มีส่วนในการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนมากกว่าปกติหรือไม่ และหากได้ข้อสรุปและจำเป็นต้องประกาศมาตรการใดๆเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของการดูแลสถาบันการเงินผู้ให้กู้และครัวเรือนที่เป็นผู้กู้เอง ธปท.จะทำการประกาศให้รับรู้ต่อไป
“ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปในมาตรการกำกับดูแล แต่อยากให้สถาบันการเงินดูแลระดับก่อหนี้ของผู้กู้ด้วย จากที่ผ่านมามีการดูแลลูกค้าธุรกิจหรือลูกค้ารายใหญ่ค่อนข้างดี ซึ่งการปล่อยกู้ควรดูความสามารถของลูกหนี้เป็นตัวตั้ง แต่จะให้มาออกเกณฑ์ว่าแต่ละคนควรมีภาระหนี้ไม่เกินเท่าไรของรายได้ก็คงไม่ทำ”
นายวิรไท กล่าวว่า ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีความเป็นห่วงต่อเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ ซึ่งขณะนี้ใกล้เคียงกับกรอบล่างของเป้าหมาย 1% และเงินเฟ้อยังเสี่ยงต่ำที่จะหลุดกรอบเป้าหมาย หากเศรษฐกิจชะลอมากกว่าที่คาดไว้ ส่วนการจ้างงานยังดี เศรษฐกิจจึงไม่ใช่อยู่ในภาวะเงินฝืด อย่างไรก็ดียังต้องติดตามดูแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาพลังงาน และปัญหาภัยแล้งในระยะต่อไปด้วย.