“สมคิด” ย้ำ 56 รัฐวิสาหกิจอย่ามัวแต่ไขลาน ให้เร่งลงทุน เพราะส่งออกไม่ดี เอกชนไม่ลงทุน การเมืองยังตีกันอยู่ ย้ำอีกไม่นานตนก็หมดวาระ แต่รัฐวิสาหกิจต้องเป็นเสาหลักด้านการลงทุน ย้ำ 4 ปีที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจช่วยผลักดันโครงการสวัสดิการของรัฐเต็มพิกัด หากรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดใหม่ไม่สานต่อ ก็ต้องกระตุ้นให้ทำงานตามแผนที่วางไว้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเปิดการสัมมนาผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3 รวม 56 แห่ง ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ว่า เวลาที่เหลืออยู่อีก 3 เดือนข้างหน้าของรัฐบาลนี้ อยากขอร้องให้รัฐวิสาหกิจอย่ามัวแต่ไขลาน เพราะขณะนี้การส่งออกไม่ดี เอกชนไม่ลงทุน และการเมืองก็ยังตีกันอยู่ ดังนั้นจึงเหลือเพียงรัฐวิสาหกิจที่ยังเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อน ประเทศไทย จึงอยากให้ช่วยเร่งรัดการเจรจาโครงการต่างๆ อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงทุนใน โครงการท่าเรือแฉลมฉบัง-มาตาพุด หรือในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ต้องสรุปให้ได้ในวันที่ 19 มี.ค.นี้เป็นต้น เพื่อทำให้การลงทุนรัฐวิสาหกิจเดินหน้า เป็นการช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ทั้งนี้ อยากฝากให้รัฐวิสาหกิจสืบทอดเจตนารมณ์ การทำงานต่อไปให้เข้มแข็ง เพราะนักการเมืองดีก็มีเยอะแต่ไม่ดีก็มีมาก รัฐวิสาหกิจต้องเป็นเสาหลักของประเทศให้ได้ เพราะประเทศยังมีปัญหาอีกมาก คนจนก็ยังมีจำนวนมาก จึงอยากให้ช่วยกันทำงาน ทำให้ให้บ้านเมืองมีความเจริญ หวังว่าการเมืองหลังเลือกตั้ง ประเทศไทยจะพบเห็นทางสว่าง แต่ถ้าหลังเลือกตั้งยังขมุกขมัว คนที่อยู่ต้องช่วยกันประคับประคองต่อไป
“อีกไม่นานผมก็จะไปแล้ว แต่มีความกังวลหลายเรื่อง เพราะขับเคลื่อนมา 4 ปี ทำได้เท่านี้ มีอีกหลายอย่างที่ไม่คืบหน้า อาทิ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้บิ๊กดาต้า ดำเนินการมาปีกว่ายังไปไม่ถึงไหน อยากให้รัฐวิสาหกิจคุยกันเอง ไม่ต้องรอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะหน่วยงานหลักที่ทำเรื่องนี้ เพราะอีก 3-4 ปี ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) จะถูก นำมาใช้อย่างแน่นอน ถ้ารัฐบาลใหม่นิ่งเฉย จะให้หนังสือพิมพ์ช่วยกระทุ้ง เพื่อให้งานเดินหน้า”
นายสมคิด กล่าวว่า ตนขอให้กำลังใจผู้บริหารรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง และขอให้ตั้งใจทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กรและประเทศชาติให้ได้มากที่สุด แม้เป็นการทำงานภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้เข้ามาช่วยรัฐบาลในหลายด้าน ทำให้ 4 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นมาก และต่างประเทศก็ชื่นชมไทยในเรื่องนี้
“การลดความเหลื่อมล้ำ รัฐวิสาหกิจก็ได้เข้ามาช่วยทั้งเรื่องบัตรสวัสดิการ โครงการบ้านล้านหลัง การดูแลภาระหนี้เกษตรกร สร้างความเข้มแข็งเกษตรกร การดูแลคนชรา เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลชุดนี้เป็นคนริเริ่มทั้งนั้น เรื่องนี้อยากให้ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ เดินหน้าตามแผนงานต่างๆ ที่วางไว้ ถ้ารัฐมนตรีมาใหม่ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องกระตุ้นให้รู้เรื่องและทำงานสานต่องานของรัฐบาลชุดนี้ “
นายสมคิด กล่าวหลังหารือกับนายอี อุก-ฮ็อน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ว่าได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและเกาหลีใต้ โดยเกาหลีใต้ สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในโครงสร้างพื้นฐานหลัก 5 โครงการในอีอีซี เนื่องจากมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และได้เชิญให้คณะส่งเสริมการลงทุนของไทยเดินทางไปที่เกาหลีใต้ด้วย รวมทั้งเกาหลีใต้ต้องการมาตั้งธนาคารในประเทศไทย จึงได้แนะนำให้ไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป และยังได้สอบถามเกี่ยวกับการประมูลร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ก็ได้ชี้แจงว่าอยู่ในขั้นตอนของการออกรายละเอียดของร่างขอบเขตของงาน และขอให้มาเข้าร่วมประมูลด้วย
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ต้องการให้รัฐวิสาหกิจร่วมมือกันมากขึ้น เนื่องจากรัฐวิสาหกิจ มีสินทรัพย์รวมกันถึง 15 ล้านล้านบาท มากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศไทย จึงมีพลังต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ปีที่ผ่านมามีกำไรรวมกัน 4 00,000 ล้านบาท แม้หลายฝ่ายมองว่ารัฐวิสาหกิจแข่งกับเอกชนไม่ได้ จึงอยากให้เปลี่ยนแนวคิดเหมือนกับรัฐวิสาหกิจของจีน ที่ปรับเปลี่ยนองค์กร ขยับขึ้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่มีประสิทธิภาพอันดับต้นๆโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพราะรัฐวิสาหกิจไทยสามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้แน่นอน ที่มีจีนเป็นตัวอย่างทำให้เห็นแล้ว หากรัฐวิสาหกิจ เพิ่มประสิทธิภาพตัวเอง ลดปัญหารั่วไหลของการลงทุน ก็จะก้าวเป็นบริษัทระดับโลกได้.