
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกบทความเรื่อง “เมื่อคนเริ่มไม่ใช้เงินสด นโยบายการเงินจะได้รับผลกระทบอย่างไร?” โดยมีเนื้อหาบางส่วนระบุว่า ความก้าวหน้าของนวัตกรรมทางการเงินกับการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเทคโนโลยีของรัฐ ทำให้พฤติกรรมการใช้เงินของคนเกี่ยวข้องกับดิจิทัลมากขึ้น ทำให้เงินสดเริ่มมีบทบาทน้อยลง แต่ก็พบว่าแม้ในหลายประเทศ คนนิยมใช้การชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) มากขึ้น แต่ล่าสุด พบว่าความต้องการใช้เงินสดยังไม่ได้ลดลง โดยเฉพาะช่วงที่คนไม่มั่นใจ ในระบบการเงินหรือช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ
โดยธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) รายงานว่ามูลค่าการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) ต่อมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ใน 24 ประเทศ ที่เป็นผู้นำในการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เกือบเท่าตัวจากเฉลี่ย 13% ในปี 2543 เป็น 25% ในปี 2560 แต่ขณะเดียวกันยังพบว่าสัดส่วนการใช้เงินสดต่อมูลค่าของจีดีพีสูงขึ้นเช่นกัน จาก 6.8% ในปี 2543 เป็น 9.4% ในปี 2560 ยกเว้นในสวีเดน อินเดีย และจีน ที่ใช้เงินสดน้อยลงมาก
ที่น่าสนใจคือ คนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ใช้เงินสดเพิ่มขึ้นมาก หลังเกิดวิกฤติการเงินโลกปี 2551 หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งแตกต่างจากคนในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่สัดส่วนการใช้เงินสดต่อจีดีพีคงที่ 7-8% ของจีดีพี ดังนั้น จึงพบว่าความไม่แน่นอนของระบบการเงิน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ถือเงินสดไว้เผื่อฉุกเฉินมากขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก จากการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลาง เป็นอีกสาเหตุที่มีผลเช่นกัน เพราะทำให้ต้นทุนการถือเงินสดถูกลง
ขณะที่ประเทศไทย ในระหว่างปี 2543-2560 พบว่า คนไทยใช้การชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเช่นกัน แต่ก็ยังต้องการใช้เงินสดเพิ่มขึ้นทุกปี โดยสัดส่วนการใช้เงินสดต่อจีดีพีอยู่ที่ 9% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ต่างจากก่อนหน้านั้น ที่สัดส่วนนี้ การใช้เงินสดมีทิศทางสูงขึ้น และปริมาณเงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย จึงยังสูงขึ้นเรื่อยๆ แค่เติบโตช้าลงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของไทย ที่ไม่สูงเหมือนในอดีต และอาจมีผลของการใช้การชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์บ้าง.