
พาณิชย์ เผย ส่งออก พ.ย.ทำได้ 2.12 หมื่นล้านเหรียญฯ ติดลบครั้งที่ 2 ในรอบปี จากพิษสงครามการค้า ฉุดสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตสินค้าจีนดิ่ง ลุ้นหนักเป้าทั้งปี 8% ส่อพลาดเป้า...
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผย การส่งออกสินค้าไทยเดือน พ.ย. 2561 ว่า มีมูลค่า 21,237.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 0.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการกลับมาติดลบครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้ หลังจากที่เดือน ก.ย.61 ติดลบ 5.20% เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 688,191.6 ล้านบาท ลดลง 2.40% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 22,415 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 14.66% เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 735,897.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.05% ส่งผลให้ขาดดุลการค้ามูลค่า 1,177.8 ล้านเหรียญฯ หรือขาดดุล 47,706.1 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การส่งออกในเดือน พ.ย.61 หากหักมูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำออก มูลค่าจะลดลง 4%
สำหรับในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) ปี 61 การส่งออกมีมูลค่า 232,725 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 7.29% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 7.447 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.13% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 231,343.9 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 14.77% เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 7.504 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.30% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 1,381 ล้านเหรียญฯ หรือขาดดุล 57,136.6 ล้านบาท
ทั้งนี้การส่งออก พ.ย.ที่กลับมาติดลบอีกครั้ง เป็นผลกระทบจากสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เริ่มแผ่ขยายมายังไทย ซึ่งจากการติดตามผลกระทบ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม พบว่า กลุ่มแรกเป็นสินค้าส่งออกไทยที่ได้รับผลจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับทั่วโลก โดยในเดือน พ.ย.61 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปสหรัฐฯ มูลค่า 70.8 ล้านเหรียญฯ ลดลง 18.4% เทียบกับเดือน พ.ย.60 หรือมูลค่าส่งออกหายไป 38.7 ล้านเหรียญฯ ได้แก่ โซลาร์เซลล์ ติดลบ 84.3% เครื่องซักผ้า ลบ 94.4% แต่เหล็ก เพิ่ม 53.1% และอะลูมิเนียม เพิ่ม 107.1%
ขณะที่กลุ่ม 2 เป็นสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีกับจีน โดยในเดือน พ.ย.61 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวไปจีน 2,435 ล้านเหรียญฯ ลดลง 9.6% หรือมูลค่าหายไป 257.3 ล้านเหรียญฯ เช่น ยานพาหนะและส่วนประกอบ ลด 59.2% ของใช้ในบ้าน/ออฟฟิศ ลด 27.8% ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์และแผงวงจร ลด 25.1% เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ และเครื่องสำอาง ลด 9.9% และกลุ่ม 3 สินค้าที่ไทยได้รับผลดีจากการส่งออกสินค้าเข้าไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ โดยในเดือน พ.ย.61 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าว 2,050 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 17.2% หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 301 ล้านเหรียญฯ เช่น เคมีภัณฑ์ เพิ่ม 14.5% เครื่องจักรและส่วนประกอบ เพิ่ม 22.1%
"นอกจากผลกระทบของสงครามการค้าที่ทำให้การส่งอกเดือน พ.ย.ลดลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่อยู่ในซัพพลายเชนของจีนแล้ว ยังเป็นผลจากฐานการส่งออกสินค้าในกลุ่มยานยนต์และข้าวเดือน พ.ย. 60 มีมูลค่าสูงมาก ทำให้ปีนี้จึงปรับตัวลดลง แต่จะเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น" น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากจะผลักดันการส่งออกปี 61 ให้ขยายตัวตามเป้าหมาย 8% ในเดือน ธ.ค.61 จะต้องส่งออกให้ได้ 22,000 ล้านเหรียญฯ ขึ้นไป ซึ่งไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่หากเดือน ธ.ค.ส่งออกได้ 21,600 ล้านเหรียญฯ มูลค่าการส่งออกทั้งปี 61 จะขยายตัวได้ 7.5% จากเป้าหมายขยายตัว 8% ขณะที่ปี 62 ยังคงต้องระมัดระวังเรื่องสงครามการค้าที่จะมีผลกระทบมากขึ้น รวมถึงติดตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่กลับมาทรงตัวต่ำ ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อสินค้าในตลาดโลก และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
ด้าน น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า มูลค่าส่งออกเดือน พ.ย.ที่ติดลบ ไม่น่าตกใจ เพราะบางปัจจัยที่เป็นผลกระทบที่ไทยควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะสินค้าไทยที่อยู่ในซัปพลายเชนของจีน จึงต้องผลักดันหาตลาดอื่นเพิ่ม ซึ่งกรมมีแผนเร่งหาตลาดรองรับ ทั้งการจัดคณะผู้แทนการค้าไปเคาะประตูบ้าน เช่น กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์ยาง
นอกจากนี้จะจัดคณะผู้แทนไปสำรวจเส้นทางการค้าบนเส้นทางสายไหมของจีน ที่จะเน้นสินค้าอาหารและฮาลาล, การจัดกองกำลังเฉพาะกิจ (Special Task Force) ไปเจาะตลาดแอฟริกา โดยเน้นผลิตภัณฑ์ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์การเกษตร เครื่องจักรการเกษตร รวมทั้งมีแผนผลักดันและสร้างโอกาสค้าขายผ่านออนไลน์ ซึ่งได้ลงนามกับจีนไปแล้ว เช่น jd.com และ tmall.com และมีแผนรุกตลาดอินเดียผ่านทางออนไลน์ด้วย โดยยืนยันเป้าหมายการส่งออกปี 61 ไว้ที่ 8% และปีหน้าโต 8% เช่นกัน.