ครม.ปลดล็อกให้สิทธิผู้ทำวิจัยที่ขอทุนวิจัยจากรัฐ เป็นเจ้าของงานวิจัยนำไปต่อยอดพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้เอง จากเดิมที่เป็นสิทธิของผู้ให้ทุนจนถูกนำ “ขึ้นหิ้ง” ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แท้จริง ชี้เพิ่มแรงจูงใจให้นักวิจัยสร้างผลงานตรงความ ต้องการของตลาด-เพิ่มสตาร์ตอัพ และเอสเอ็มอีที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม มีสาระสำคัญคือ การให้สิทธิผู้ที่ทำงานวิจัยโดยขอทุนจากหน่วยงานรัฐ ได้สิทธิเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นของผู้รับทุนเองได้ และผู้รับทุนวิจัยสามารถถ่ายทอดผลงานวิจัยไปสู่ภาคเอกชนที่จะเป็นผู้นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมนั้นไปใช้ประโยชน์ผลิตเป็นสินค้าและบริการออกสู่ตลาดหรือใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม และสร้างแรงจูงใจให้แก่นักวิจัยในการสร้างสรรค์ผลงานให้ตรงกับความ ต้องการของตลาด
“ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ให้ทุนวิจัย เช่น สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ส่วนผู้รับทุนได้แก่ มหาวิทยาลัย หน่วยงานทำวิจัยหรือสถาบันวิจัยต่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อหน่วยงานเป็นผู้ให้ทุนวิจัย ดังนั้นสิทธิในงานวิจัยจึงเป็นของผู้ให้ทุน ทำให้เกิดปัญหาผลงานวิจัยเหล่านั้นขึ้นหิ้ง ไม่ได้นำไปทำให้เกิดเป็นรูปธรรม และเกิดปัญหาความล่าช้าในการตกลงสิทธิในผลงานวิจัย โดยใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน-1 ปี ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่จะมาปลดล็อกในเรื่องนี้ เพราะในความเป็นจริงผู้ที่รับทุนวิจัยคือมหาวิทยาลัย และอาจารย์ จะเป็นผู้ที่มีความรู้จริงในงานวิจัยนั้นว่ามีประโยชน์อย่างไรและมีความใกล้ชิดกับภาคเอกชน สามารถเอาไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ โดยกฎหมายลักษณะเดียวกันนี้มีอยู่ในประเทศสหรัฐ-อเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย และทำให้เกิดทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้นอย่างก้าวกระโดด”
พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมนี้ จะช่วยเพิ่มจำนวนสตาร์ตอัพและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ใช้เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจได้ เพราะสามารถรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยของรัฐโดยตรง ด้วยการแบ่งผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม สามารถกระตุ้นให้เกิดระบบเศรษฐกิจนวัตกรรมได้ และยังช่วยยกระดับงานวิจัยในสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยของรัฐโดยเพิ่มแรงจูงใจให้นักวิจัยผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ เพราะเมื่อผลิตผลงานวิจัยออกมาแล้วจะมีส่วนแบ่งในงานวิจัย
อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขว่า หากหน่วยงานวิจัย หรือเจ้าของวิจัยที่ได้รับสิทธิการเป็นเจ้าของแล้ว ไม่นำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ภายใน 2 ปี สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในผลงานวิจัยนั้นจะกลับมาเป็นของผู้ให้ทุนวิจัย และในกฎหมายได้กำหนดด้วยว่า ไม่ว่ากรณีใดๆรัฐขอสงวนสิทธิในการนำผลงานวิจัยมาใช้เพื่อการศึกษาวิจัย หรือแก้ปัญหาประเทศในภาวะฉุกเฉิน ปัญหาความมั่นคงหรือสาธารณสุขที่มีผลกระทบสูงต่อประชาชนได้ ขณะเดียวกัน ยกเว้นงานวิจัยที่เกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างจากรัฐ สิทธิจะเป็นของรัฐไม่ใช่ของผู้วิจัย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กระทรวงวิทยา-ศาสตร์และเทคโนโลยีได้รายงาน ครม.ว่า ประเทศไทยมีการลงทุนวิจัยและพัฒนาในปี 2559 จำนวน 114,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.78% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และในจำนวนนี้ลงทุนโดยภาครัฐ 27% คิดเป็นจำนวนเงิน 30,600 ล้านบาท
วันเดียวกัน ครม.ยังอนุมัติในหลักการ ร่าง พ.ร.บ.เขตพื้นที่นวัตกรรมทางการศึกษา หรือ Sandbox ทางด้านการศึกษา โดยกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดวัตถุประสงค์สำหรับการจัดการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา และลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมด้านการศึกษา และนำนวัตกรรมนั้นไปใช้ในสถานศึกษาในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยจะประกาศกำหนดเขตพื้นที่นวัตกรรมทางการศึกษานำร่องใน 3 พื้นที่แรกได้แก่ จ.ระยอง ศรีสะเกษและสตูล
“ในปัจจุบันระบบการศึกษาของไทยเป็นลักษณะการกำหนดนโยบายจากส่วนกลางแล้วนำไปปฏิบัติเหมือนกันทั่วประเทศ แต่ความต้องการของแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันไป เช่น ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีความ ต้องการบุคลากรที่มีความรู้ด้านอุตสาหกรรมใหม่ คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาจึงเสนอไอเดียเรื่องแซนด์บ็อกซ์เพื่อประกาศพื้นที่พิเศษเป็นเขตพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา และสร้างสถานศึกษานำร่องขึ้นมา สามารถสร้างหลักสูตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ของตนเองได้ จะขยายเอาตัวอย่างไปใช้กับพื้นที่อื่นที่เหมาะสมต่อไป”.