
(ธานินทร์ สมบูรณ์ - สนิท พรหมวงษ์)
“อาคม” เรียก 2 อธิบดี “ธานินทร์-สนิท” เข้าพบด่วนหวังกลบข่าวลือลาออกหลังถูกโยกย้ายไปนั่งเป็นรองปลัดกระทรวงคมนาคม แต่ “ธานินทร์” เมินหน้าหนี ตั้งสเตตัส “หลุดพ้น ปล่อยวาง” ปลัดคมนาคมยัน 2 อธิบดีลาออกแน่ ขณะที่ “สนิท” กลับลำไม่ลาออก หวั่นกระทบมอเตอร์เวย์บางใหญ่-บ้านโป่ง และไอยูยู
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงคมนาคมว่า ขณะนี้ได้มีกระแสข่าวว่า นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และนายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง ได้เขียนหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งแล้ว หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้โยกย้ายทั้งคู่มาดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.
ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าการทำงานจะสะดุดและไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรมทางหลวง ขณะนี้มีปัญหาในเรื่องของการผลักดันการเวนคืนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เพื่อใช้ในการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) บางใหญ่-บ้านโป่ง ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องค่าเวนคืนที่ดิน ที่ปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นมาเป็น 19,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลงานของกรมเจ้าท่า ในการเร่งแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) ซึ่งสหภาพยุโรป (อียู) จะเข้ามาตรวจติดตามความคืบหน้าในเดือน ก.ย.นี้ หลังจาก ครม.ได้เห็นชอบให้โยกย้าย นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมเจ้าท่า ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคมด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ได้เรียกนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และนายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เข้าพบ เพื่อสยบข่าวลือดังกล่าว แต่ปรากฏว่ามีแค่นายสนิทเข้าหารือกับ รมว.คมนาคมคนเดียวเท่านั้น โดยนายสนิทเปิดเผยหลังเข้าพบนายอาคมว่าไม่มีแนวคิดลาออกจากราชการ เพราะในช่วงที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างมีความสุขมาโดยตลอด ทั้งที่เคยทำงานที่กรมทางหลวง และปัจจุบันที่กรมการขนส่งทางบก เนื่องจากการเป็นข้าราชการต้องสามารถทำหน้าที่ตำแหน่งไหนก็ได้ และพร้อมทำงานในทุกที่ที่มีคำสั่งให้ไปประจำการ ส่วนอายุราชการที่เหลืออีก 1 ปี ตนก็จะทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งใดก็ตาม
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อสัมภาษณ์นายธานินทร์ตลอดเวลา แต่กลับพบว่าสายโทรศัพท์ว่าง แต่ตัดสายตลอด ขณะที่ช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ส่วนตัวของนายธานินทร์ ได้ขึ้นสเตตัสว่า “หลุดพ้น ปล่อยวาง”
ด้านนายอาคมให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า ยังไม่เห็นหนังสือลาออกจากทั้ง 2 อธิบดี แต่เรียกนายสนิทเข้าพบเพื่อเป็นการมอบหมายงานที่ต้องรับผิดชอบในส่วนที่ต้องมาดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงคมนาคม ส่วนกรณีที่ว่า การโยกย้ายครั้งนี้ทำให้เกิดรอยร้าวแตกแยกเกิดขึ้นในกระทรวงคมนาคมนั้น มองว่า เรื่องโยกย้ายเป็นเรื่องปกติที่ต้องมี
นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือลาออกของทั้ง 2 อธิบดี แต่ได้รับการยืนยันจากคนสนิททั้ง 2 อธิบดี ยืนยันว่าอธิบดีทั้ง 2 คนได้ทำหนังสือลาออกแน่ แต่ทั้งนี้หากได้รับหนังสือลาออกจากทั้ง 2 คนจริง ตนจะต้องขอหารือเพื่อสอบถามถึงเหตุผลการลาออกจากตำแหน่งของทั้ง 2 คนก่อนในฐานะผู้บังคับบัญชา ซึ่งตามขั้นตอนระเบียบราชการการลาออกจากราชการ จะต้องมีการแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน นอกจากนี้ระเบียบราชการยังให้อำนาจปลัดกระทรวงสามารถยับยั้งการลาออกได้อีกด้วย แต่ไม่เกิน 90 วัน
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า จากที่ ครม.ได้มีมติเห็นชอบให้ตนไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคมนั้น ยืนยันว่าสามารถเข้าทำงานได้ทุกที่ไม่ยึดติดตำแหน่ง และในระหว่างนี้จะยังคงทำงานในตำแหน่งอธิบดีกรมเจ้าท่า เดินหน้าในการทำงานและเร่งแก้ไขไอยูยู ที่แก้ไขคืบหน้าไปมากกว่า 90-95% ซึ่งในเดือน ก.ย.นี้ ทางอียูจะเข้ามาประเมินผลการแก้ไขปัญหาไอยูยูในส่วนที่กรมเจ้าท่ารับผิดชอบ
ทั้งนี้ในส่วนของการแก้ไขปัญหาไอยูยูในความรับผิดชอบของกรมเจ้าท่านั้น ขณะนี้ได้มีการแก้ไข 1.ระบบฐานข้อมูลระเบียบเรือให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบเรือทุกลำรวมถึงสามารถเชิญโยงฐานข้อมูลระหว่างเรือกับกรมประมงได้ 2.แก้ไขขั้นตอนปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้มีความถูกต้องและเหมาะสมเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย 3.ประกาศงดจดทะเบียนเรือประมงในช่วง 2 ปีนี้ (ก.ค.61-ก.ค.63) เพื่อให้กองเรือไม่มีเพิ่มเติมขึ้น เพื่อง่ายในการตรวจสอบเรือถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันเรือประมงไทยที่ถูกกฎหมายมีจำนวน 1,100 ลำ
4.จัดทำบัญชีเรือลอค หรือเรือที่ยังไม่ถูกกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่จะลอคและแยกประเภทเรือผิดกฎหมายออกมาเพื่อให้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น และควบคุมกองเรือไม่ให้มีเรือผิดกฎหมายเข้ามาโดยจะจัดตั้งศูนย์ควบคุมเรือลอค แล้วเสร็จในเดือน ก.ย.2561 และ 5.จัดระเบียบควบคุมอู่ต่อเรือ โดยเรือที่จะเข้ามาซ่อมที่อู่ต่อเรือ ทางอู่ต่อเรือจะต้องรายงานเรือที่จะซ่อมต่อกรมเจ้าท่า ซึ่งการจัดระเบียบดังกล่าวจะทำให้สามารถควบคุมตรวจสอบเรือที่ผิดกฎหมายที่มาต่อเรือได้.