เพิ่มสิทธิ์สวัสดิการคนจน คลังชง ครม. “บัตรทอง” ไม่เสียเงิน 30 บาท

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เพิ่มสิทธิ์สวัสดิการคนจน คลังชง ครม. “บัตรทอง” ไม่เสียเงิน 30 บาท

Date Time: 2 ส.ค. 2561 09:20 น.

Summary

“อภิศักดิ์” ชง ครม.ยกเลิกจ่ายเงิน 30 บาท โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือบัตรทอง อย่างเป็นทางการ กรณีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรักษาตัวในโรงพยาบาล

Latest

ผ่านปี 68 "งูร้าย" สู่ปี 69 "ม้าเหนื่อย" เฟ้นหา "แสงสว่าง" ท่ามกลางปัจจัยลบ

“อภิศักดิ์” ชง ครม.ยกเลิกจ่ายเงิน 30 บาท โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือบัตรทอง อย่างเป็นทางการ กรณีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรักษาตัวในโรงพยาบาล พร้อมนำร่อง 3 เดือน ต.ค.-ธ.ค.61 คืนภาษีแวตแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 11.4 ล้านคน ให้สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลผ่านโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือบัตรทอง โดยไม่ต้องจ่ายเงิน โดยคาดว่า ภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากนี้ กระทรวงการคลังจะประสานกับกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลทุกแห่งถึงแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว ส่วนเงินชดเชยนั้นเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เพราะคาดว่าจะใช้เงินในการดำเนินมาตรการไม่มากนัก

“เบื้องต้นคาดว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ จะเริ่มรับบริการตามโครงการ 30 บาท โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่เดือน ก.ย.นี้เป็นต้นไป โดยมาตรการนี้จะเป็นมาตรการถาวร ไม่ใช่มาตรการชั่วคราว ซึ่งหลักคิดของมาตรการคือ ผู้มีรายได้น้อยไม่ควรมีภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้ โดยบัตรสวัสดิการฯ จะเป็นเครื่องยืนยันตัวตนที่จะได้รับการบริการจากโรงพยาบาล ซึ่งสิทธิ์การรักษาทุกอย่างจะได้ตามปกติ”

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ และการวางระบบสารสนเทศ (ไอที) เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลการใช้จ่ายของกรมสรรพากร โดยเบื้องต้นตั้งเป้าหมายว่าจะเริ่มนำร่องโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.-ธ.ค.2561 รวมระยะเวลา 3 เดือน ส่วนเพดานของจำนวนเงินที่จะคืนภาษีแวตนั้น ยังไม่มี ข้อสรุปที่ชัดเจน คงต้องรอให้การวางระบบไอทีต่างๆเรียบร้อยก่อน

สำหรับการคืนภาษีแวตนั้น จะคืนให้ทั้งในส่วนเงินช่วยเหลือที่รัฐจ่ายให้ผ่านบัตรสวัสดิการฯ ทุกเดือน และในส่วนที่ผู้มีรายได้น้อยได้เติมเงินใส่เข้าไปในบัตรสวัสดิการฯเองเพื่อนำไปใช้จ่ายในการซื้อสินค้าต่างๆ ส่วนวิธีการคืนภาษีแวตนั้น จะคืนเงินเข้าไปในบัตรสวัสดิการฯ โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการฯสามารถนำเงินในส่วนที่ได้รับคืนจากภาษีแวตไปซื้อสินค้าต่างๆได้หรือสามารถกดเป็นเงินสดออกมาใช้จ่ายได้ด้วย ขณะที่กระบวนการคืนภาษีนั้นยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะคืนให้ทุกเดือนตลอดระยะเวลา 3 เดือน หรือจะคืนครั้งเดียวหลังสิ้นสุดโครงการ

“ในหลักการเบื้องต้น ผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการฯ จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ดังนั้น การคืนเงินภาษีแวตจึงจะคิดเป็นจำนวนเท่ากับภาษีแวตที่เสียผ่านบัตรสวัสดิการฯ ไม่ควรเกิน 7,000 บาทต่อราย เพราะหากการขอคืนภาษีแวตสูงกว่า 7,000 บาท บุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้มีรายได้น้อยแล้ว”

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในการเปิดตัวโครงการประชารัฐสวัสดิการกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งเป็นประธานเปิดตัวโครงการใช้โทรศัพท์มือถือรับชำระเงินจากผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3,000 คน ว่า โครงการบัตรสวัสดิการฯ ที่รัฐบาลดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย ไม่เกิน
100,000 บาทต่อปี ซึ่งมีประชาชนมาลงทะเบียนกว่า 11.4 ล้านคน ได้ดำเนินการมาถึงระยะที่ 2 โดยรัฐบาลมีโครงการให้ฝึกอบรม เพิ่มทักษะให้กับผู้มีรายได้น้อยและจะเพิ่มวงเงินให้ และมีช่องทางในการชำระเงินซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นจากเดิมที่ต้องใช้เครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อีดีซี) จะสามารถใช้งานผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือได้ ถือว่าโครงการนี้คืบหน้าไปมาก

“ที่ผ่านมาในระยะที่ 1 มีความจำเป็นต้องดึงผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีสินค้าเข้ามาร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อจำหน่ายสินค้าหลากหลายให้กับประชาชน ย้ำว่ารัฐบาลไม่มีเอื้อประโยชน์ให้ใคร ขณะเดียวกัน มีจุดประสงค์ในการช่วยเหลือร้านค้ารายย่อย ร้านโชห่วยขนาดเล็กให้เข้ามาลงทะเบียนในโครงการ โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ต้องการเก็บภาษีจากร้านค้าขนาดเล็กเหล่านี้ เพราะร้านค้าที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ร้านค้าสามารถโหลดแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” มาใช้รับเงินจากการซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือโดยไม่ต้องติดตั้งเครื่องรูดบัตรอีดีซี โดยปัจจุบันมีร้านค้าที่ลงทะเบียนติดตั้งแอปพลิเคชันนี้แล้วกว่า 20,000 ร้านค้า โดยวางเป้าหมายว่าภายใน 1-2 เดือนนี้ จะมีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 100,000 ร้านค้า และจะขยายเพิ่มเป็น 200,000 ร้านค้าภายใน 3-4 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า ปัจจุบันสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่ได้เรียกเก็บเงิน 30 บาทจากผู้ถือบัตรทองแล้ว แต่หากผู้ถือบัตรทองจะสมัครใจจะจ่ายเงิน 30 บาทก็ได้ โดย สปสช.จะเป็นผู้รับผิดชอบภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น ดังนั้น หากกระทรวงการคลังจะมาร่วมรับผิดชอบก็สามารถดำเนินการได้.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ