งัดสุดยอดกลเม็ดล่อใจเอกชน สรรพากรแนะคนธรรมดาทำธุรกิจเสียภาษีนิติบุคคล

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้กรมสรรพากรขยายมาตรการสนับสนุนให้ประชาชนที่ทำธุรกิจโดยได้เสียภาษีประเภทเงินบุคคลธรรมดา เปลี่ยนมาเป็นยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดา โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พ.ค.จนถึงสิ้นปี 61 นี้ คาดว่าจะมีผู้ที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ความสนใจเปลี่ยนมายื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบนี้ประมาณ 100,000 ราย จากจำนวนทั้งหมด 800,000 ราย

“ปัจจุบันมีบริษัทนิติบุคคล และบุคคลธรรมดาที่เปลี่ยนมาเสียภาษีนิติบุคคลประมาณ 500,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ กรมสรรพากรได้สนับสนุนให้ผู้ที่มีได้เงินบุคคลธรรมดาเปลี่ยนมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 70,000 ราย เมื่อปีที่แล้ว ในช่วงระหว่างเดือน ส.ค.59 จนถึงเดือน ธ.ค.60 และล่าสุด ครม.มีมติขยายระยะเวลาจนถึงปีนี้ ตามคำเรียกร้องของภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานบัญชี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยข้อดีของการเสียภาษีนิติบุคคล คือ เสียภาษีถูกกว่าเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเสียภาษีตามอัตราก้าวหน้า 0-35% โดยผู้มีรายได้เกินกกว่า 5 ล้านบาท จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 35% แต่บริษัทนิติบุคคลเสียภาษีในอัตรา 20% เท่านั้น”

นอกจากนี้ การเป็นนิติบุคคลยังไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของอายุผู้กู้ด้วย ซึ่งปัจจุบันธนาคารพาณิชย์จะไม่ปล่อยกู้แก่บุคคล กรณีที่มีอายุเกินกว่า 60 ปี ขณะที่การปล่อยกู้ให้แก่บริษัทนิติบุคคลจะพิจารณาจากงบดุลทางบัญชีและผลการดำเนินงานกำไร-ขาดทุน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี หากมีกำไรสุทธิไม่ถึง 300,000 บาท ไม่เสียภาษี มีกำไรสุทธิเกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท เสียภาษี ในอัตรา 10% และหากมีกำไรสุทธิเกินกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 20%

นายประสงค์กล่าวว่า ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ต่ำกว่าประมาณการ 6,000 ล้านบาท แต่หากแยกออกมาพบว่าภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการทุกเดือน.