"ฉัตรชัย"มั่นใจไทยเขตฟรีไอยูยู

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"ฉัตรชัย"มั่นใจไทยเขตฟรีไอยูยู

Date Time: 6 มี.ค. 2561 09:01 น.

Summary

  • พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) ของไทย มีความคืบหน้าไปมาก แม้สหภาพยุโรป (อียู) จะคงสถานภาพให้ไทย

Latest

“เศรษฐพุฒิ” ถอดรหัส “สงครามการค้า” สแกนจุดตกกระทบ-หยุดนโยบายปูพรม

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) ของไทย มีความคืบหน้าไปมาก แม้สหภาพยุโรป (อียู) จะคงสถานภาพให้ไทยได้ใบเหลือง คือ ประเทศที่ไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องการทำประมงผิดกฎหมายที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายสากล แต่ที่ผ่านมาอียูได้ให้คำแนะนำกับไทยหลายอย่าง ซึ่งไทยไม่ขัดข้องและปฏิบัติตามข้อกำหนดไว้เป็นอย่างดี ทำให้การแก้ไขปัญหาคืบหน้าไปมาก แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าอียูจะปลดใบเหลืองให้ไทยได้เมื่อใด

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่อียู จะเดินทางมาตรวจสอบไอยูยูของไทยอีกครั้งในวันที่ 4-11 เม.ย.นี้ โดยจะตรวจสอบระบบปฏิบัติงานในศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก (PIPO) ที่มีอยู่ 22 แห่ง ว่ามีความพร้อมในการตรวจสอบทะเบียนเรือ, ใบอนุญาตการทำประมง และแรงงานหรือไม่ โดยในส่วนแรงงานประมงนั้นรัฐบาลได้วางระบบสแกนม่านตา ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงกว่าที่อียูกำหนด สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ ปัจจุบันได้ติดตั้งใช้งานในจังหวัดสมุทรสาคร สามารถบันทึกข้อมูลได้ 100,000 คน และจะทยอยติดตั้งให้ครบ 22 แห่ง ซึ่งจะทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

“การแก้ไขปัญหาไอยูยู ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และเข้มงวดในทุกระบบ อีกทั้งไทยจะประกาศใช้ขั้นตอนการขออนุญาตการนำเข้า-ส่งออกสินค้าประมงที่เป็นของไทยเอง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับจากนี้ และในอีก 2 ปีข้างหน้า ไทยจะประกาศเขตฟรีไอยูยู คือ แม้อียูจะคงสถานะใบเหลืองให้กับไทยหรือไม่ก็ตาม แต่ไทยจะกำหนดมาตรฐานการทำประมงของตัวเองที่เหนือกว่ามาตรฐานที่อียูกำหนด และไทยจะขึ้นเป็นผู้นำการแก้ไขปัญหาไอยูยูในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งผลักดันให้อาเซียนเป็นเขตฟรีไอยูยูเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันไทยได้บรรจุเป็นวาระ เพื่อนำไปหารือในเวทีการประชุมรัฐมนตรีเกษตรอาเซียนและป่าไม้ไว้แล้ว”

สำหรับปัญหาแรงงานภาคประมงนั้น ขณะนี้ยังขาดแคลนแรงงานต่างด้าวอีก 20,000 คน ขณะที่เรื่องการซื้อเรือ กว่า 900 ลำนั้นต้องใช้วงเงินสูงกว่า 2,000 ล้านบาท จึงได้สั่งการให้กรมประมงเร่งรัดเรื่องการควบรวมเรือประมงที่มีใบอนุญาตก่อนเพื่อให้จำนวนเรือน้อยลง และง่ายต่อการเจรจาซื้อ-ขายเรือประมง โดยปัจจุบันมีเรือประมงที่ขึ้นทะเบียนและขออนุญาตทำการประมงราว 10,700-10,800 ลำ จากเดิม 20,000 ลำ ซึ่งกรมประมงต้องตรวจสอบเพื่อความถูกต้องต่อไป.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ