ครม.รับทราบสำรวจข้อมูล “คนจน” ดีกว่าที่คิด ส่วนใหญ่มีบ้านอยู่อาศัยเป็นของตนเอง ประกอบอาชีพเกษตร-รับจ้างทั่วไปเป็นหลัก ขณะที่อยากได้มาตรการลดค่าครองชีพเพิ่ม ขอรัฐลดช่วยค่าน้ำ-ค่าไฟ-สินค้าอุปโภคบริโภค-รักษาพยาบาล ด้าน ครม.เคาะขยายเวลาสร้างระบบชลประทาน-พัฒนาท้องถิ่น
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดจ้างเจ้าหน้าที่สำรวจข้อมูลระหว่างวันที่ 20 ก.ค.-18 ส.ค.2560 ที่ผ่านมาเก็บข้อมูลจำนวน 13.43 ล้านคน นำข้อมูลมาประมวลผลได้จำนวน 10.64 ล้านคน
โดยพบข้อมูลสถานะของผู้มีรายได้น้อยว่าเป็นผู้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองโดยไม่ต้องผ่อนชำระ คิดเป็น 68.3%, อาศัยอยู่กับบิดา มารดา ญาติพี่น้อง 25.9%, เช่าบ้านหรือที่อยู่อาศัย 2.4%, มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแต่อยู่ระหว่างผ่อนชำระ 1.8%, อาศัยอยู่กับผู้อื่น เช่น เพื่อน คนรู้จัก วัด 1% และอาศัยอยู่ในบ้านพักที่หน่วยงานจัดให้ 0.4%
ขณะที่อาชีพของผู้มีรายได้น้อยพบว่า ทำการเกษตร 31.7%, ลูกจ้างเอกชนและรับจ้างทั่วไป 28.2%, อยู่บ้านเฉยๆ เช่น พ่อบ้าน แม่บ้าน คนชรา 21.6%, ว่างงาน 9.7%, ประกอบธุรกิจส่วนตัว 4.1%, นักเรียน นิสิตนักศึกษา 2.7%, ข้าราชการบำนาญ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ช่วยธุรกิจของครัวเรือน 1.5%, และรับจ้างขับรถโดยสารหรือขนของ 0.5%
ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน พบว่ามีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า 3,000 บาทต่อเดือน 34.1%, ค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 3,001-5,000 บาทต่อเดือน 29.2%, ค่าใช้จ่าย 5,001-10,000 บาทต่อเดือน 15.1% และมากกว่า 10,000 บาทต่อเดือน 4.3% ขณะที่มีภาระหนี้นอกระบบคิดเป็น 13.7% และไม่มีหนี้นอกระบบ 85.9% โดยในส่วนที่เป็นหนี้นอกระบบมีหนี้นอกระบบต่ำกว่า 3,000 บาท 0.6%, 3,001-5,000 บาท 1%, 5,001-10,000 บาท 1.5% และมากกว่า 10,000 บาท 10.6% ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยระบุว่า ต้องการให้ช่วยลดค่าสาธารณูปโภค ค่าไฟฟ้า ค่าประปา 82.1%, ลดภาระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน 66.4%, ลดภาระค่ารักษาพยาบาล ดูแลสุขภาพ 47.2%, เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา 39.5% และลดภาระค่าอุปกรณ์การศึกษาลูกหลาน 30.7%
อย่างไรก็ตาม สำนักงานสถิติแห่งชาติได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเสนอให้รัฐควรกำหนดนโยบาย หรือมาตรการลดค่า ครองชีพ ลดค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เช่น ลดค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ลดค่าไฟฟ้า-น้ำประปา ลดค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และรัฐควรส่งเสริมการพัฒนาด้านอาชีพเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถดำรงชีพได้อย่างยั่งยืน ส่วนการจัดสวัสดิการให้กับผู้มีรายได้น้อยควรใช้ข้อมูลจากหลายๆแหล่งเพื่อให้ครอบคลุมทุกประเด็น เช่น ข้อมูลผู้พิการ ข้อมูลผู้ป่วย รวมทั้งเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการติดตาม ประเมินผลในระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของคนในประเทศ
นายณัฐพรกล่าวต่อว่า ในส่วนของการพัฒนาท้องถิ่น วันเดียวกัน ครม.ได้อนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่ 3 โครงการวงเงินรวม 30,300 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จ.อุตรดิตถ์ วงเงินงบประมาณ 10,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำน่านตอนล่างเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตรได้จำนวน 810,000 ไร่ โดยขอขยายระยะเวลาในการดำเนิน งานจาก9ปีเป็น 14 ปี ดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2566 2.โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.อุตรดิตถ์ วงเงิน 4,800 ล้านบาท เพิ่มพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 53,000 ไร่ และช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่แม่น้ำน่านตอนล่าง ขยายระยะเวลาดำเนินงานจาก 8 ปี ไปเป็น 11 ปี แล้วเสร็จในปี 2564 และ 3.โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ วงเงิน 15,000 ล้านบาท ขยายระยะเวลาดำเนินงานจาก 6 ปี เป็น 11 ปี แล้วเสร็จในปี 2565
นอกจากนั้น ครม.เห็นชอบโครงการขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินโครงการตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ขยายไปถึงวันที่ 30 มี.ค.2561 ด้วย โดยกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า ที่ผ่านมากรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้เสนอขออนุมัติงบกลางตามการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น รวม 2 ครั้ง แบ่งเป็นครั้งที่ 1 จำนวน 2,712 โครงการ วงเงินรวม 2,404.75 ล้านบาท และวงเงินที่เสนอเพิ่มเติมในครั้งที่ 2 วงเงิน 397.81 ล้านบาท 511 โครงการ รวมวงเงินในโครงการทั้งสองส่วน 2,802.56 ล้านบาท แต่เงินส่วนหนึ่งเพิ่งได้รับการจัดสรรงบเมื่อวันที่ 26 ก.ย.60 ที่ผ่านมา ทำให้ดำเนินการไม่ทัน.