ม.หอการค้า เผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ต.ค. โตต่อเนื่องเดือนที่ 3 เชื่อเศรษฐกิจในอนาคตดีขึ้น การเมืองเริ่มมีเสถียรภาพ คาดช็อปช่วยชาติ-บัตรคนจน เป็นแรงเหวี่ยงเศรษฐกิจช่วงปีใหม่ ช่วยกระตุ้นจีดีพี คาดทั้งปีโต 3.9%...
เมื่อวันที่ 9 พ.ย. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ต.ค. 60 ว่า อยู่ที่ 76.7 จาก 75.0 ในเดือน ก.ย. 60 ซึ่งปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 64.1 จาก 62.5 ในเดือน ก.ย. 60 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 71.4 จาก 69.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 94.4 จาก 92.7
สำหรับปัจจัยบวก ได้แก่ นโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการของรัฐ, การส่งออกเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้น 12.22%, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง, เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย และการเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น หลังรัฐบาลประกาศเลือกตั้งปลายปี 61 ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ สถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้, ราคาพืชผลทางการเกษตร ยังทรงตัวในระดับต่ำ, ผู้บริโภคยังกังวลปัญหาค่าครองชีพ และความกังวลปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีเหนือ ที่หวั่นจะกระทบการส่งออก และเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากผู้บริโภคมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะปรับตัวดีขึ้นตามการส่งออกและการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มคลายกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน และเห็นว่าการเมืองในอนาคตเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น เป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 60 ขยายตัวได้ในระดับ 3.7-4.0% ตามที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินไว้
อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังฟื้นตัวไม่มากนัก เนื่องจากยังกังวลปัญหาราคาพืชผลเกษตร ที่ส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เช่น ข้าว, ยางพารา, มันสำปะหลัง, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, ปาล์มน้ำมัน และสับปะรด ทำให้กำลังซื้อทั่วไปขยายตัวในระดับต่ำและไม่คล่องตัว ยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ผู้บริโภคยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังฟื้นตัวไม่ดีขึ้นมากนัก แม้จะรู้สึกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคตจะปรับตัวดีขึ้นก็ตาม โดยราคาพืชผลเกษตรแม้ยังทรงตัวในระดับต่ำ แต่ไม่ได้มีแนวโน้มจะทรุดตัวรุนแรง และสถานการณ์ราคาจะค่อยๆ คลายตัว เมื่อระดับราคาน้ำมันเริ่มปรับสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สินค้าเกษตรมีราคาเพิ่มขึ้นตาม ทำให้คนพร้อมจะออกมาจับจ่ายใช้สอย
ส่วนมาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี หรือมาตรการ "ช็อปช่วยชาติ" ระยะเวลา 23 วัน คาดจะทำให้มีเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาช่วยเติมในระบบเศรษฐกิจได้ราว 15,000-20,000 ล้านบาท น่าจะใกล้เคียงกับปี 58 และ 59 หากรวมเม็ดเงินที่จะเข้ามาช่วยหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อยอีกราว 5,000 ล้านบาทแล้ว คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้อีกประมาณ 25,000 ล้านบาท จะช่วยเป็นแรงเหวี่ยงในการกระตุกเศรษฐกิจได้ บรรยากาศช่วงปีใหม่น่าจะดีขึ้น คนมีอารมณ์จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น คาดช่วยกระตุ้นจีดีพีเพิ่มอีก 0.1% ซึ่งมองว่าทั้งปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตได้ 3.9%
นอกจากนี้ ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 61 คาดว่าจะเติบโตได้ 4.2% มีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ การส่งออกที่คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน การท่องเที่ยวคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากขึ้นเป็น 37-38 ล้านคน การลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ขณะที่ประชาชนมีความพร้อมมากขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย และภาคเอกชนเริ่มมีการลงทุนเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการลงทุนของภาครัฐ น่าจะมีส่วนทำให้จีดีพี ในปีหน้าเติบโตได้ 2.5% และเมื่อรวมกับเม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ทั้งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ และโครงการ EEC เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะโตอย่างน้อย 4% ในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังคงมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ ปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี, ปัญหาภัยธรรมชาติ, ภัยจากการก่อการร้าย และปัญหาราคาพืชผลเกษตรที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ เป็นต้น.