
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจากทำเนียบขาวว่า อัตราภาษีใหม่นี้จะไม่ใช้กับบริษัทที่ได้ให้คำมั่นว่าจะผลิตในอเมริกาหรือกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานในประเทศ อย่างไรก็ตาม คำแถลงของทรัมป์ยังไม่ถือเป็นการประกาศมาตรการภาษีอย่างเป็นทางการ และยังไม่มีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับแผนนี้
คำประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์เปิดเผยว่า Apple ที่ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มอีก 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า นอกเหนือจากเงินลงทุนเดิมที่บริษัทเคยประกาศไว้ที่ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรัมป์ยกตัวอย่างการให้คำมั่นไว้อย่างชัดเจนว่าจะผลิตในสหรัฐฯ
หากมีการประกาศภาษีครั้งใหม่นี้จริง คาดว่ามาตรการนี้จะมุ่งเป้าไปที่ “จีน” ซึ่งรัฐบาลอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงการค้า บริษัทจีนและผู้ผลิตชิปจากจีน เช่น SMIC, Huawei, YMTC จะถูกเก็บภาษีเต็มที่ เพราะไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ และยังไม่มีแผนตั้งโรงงาน ชิปจากจีนที่ถูกใช้ในอุปกรณ์ (เช่น สมาร์ทโฟน, กล้อง, IoT) ที่จะนำเข้าไปขายในสหรัฐฯ อาจถูกตีภาษีซ้อนหากไม่มีการแยกภาษีเฉพาะส่วนประกอบ ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนในตลาดสหรัฐฯ แพงขึ้นอย่างมีนัยยะ
นอกจากนี้ บริษัทสหรัฐฯ ที่ยังพึ่งพาการผลิตชิปจากต่างประเทศ แต่ไม่มีแผนผลิตในสหรัฐฯ เช่น กลุ่มบริษัทฮาร์ดแวร์ขนาดกลาง-เล็ก หรือสตาร์ตอัป หากซื้อชิปจากผู้ผลิตในจีน ไต้หวันหรือเอเชียตะวันออก โดยไม่มีการลงทุนหรือพันธมิตรในสหรัฐฯ จะต้องแบกรับต้นทุนภาษีทันที บริษัทที่พึ่งพาจีนเป็นฐานการผลิตต้นทุนต่ำมานาน อาจต้องปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่
ผู้บริโภคในสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบตามมา เพราะสินค้าที่ใช้ชิปจำนวนมาก เช่น โทรศัพท์ แล็ปท็อป รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อาจปรับราคาสูงขึ้น เพราะต้นทุนเพิ่ม โดยเฉพาะหากภาษีไม่ได้จำกัดเฉพาะตัวชิปแต่ลามไปถึงสินค้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ
สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) รายงานว่า นับตั้งแต่ปี 2020 มีโครงการมากกว่า 130 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ประกาศจะลงทุนในสหรัฐ แม้ในปี 2022 กระทรวงพาณิชย์ภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน ได้จัดตั้งโครงการเงินอุดหนุนสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ มูลค่า 5.27 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกระตุ้นการผลิตและได้โน้มน้าวให้ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ ได้แก่ TSMC, Samsung Electronics, Intel, Micron Technology และ GlobalFoundries ให้จัดตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ตามแผนของโครงการนี้
อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ได้เพียง 12% ของปริมาณการผลิตทั่วโลก ซึ่งลดลงจาก 40% ในปี 1990 กดดันให้สหรัฐฯ ต้องเร่งดึงดูดการผลิตชิปให้กลับคืนสู่ประเทศ มาตรการภาษีนี้จะทำให้ผู้ผลิตชิปในประเทศได้ประโยชน์และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะลูกค้าที่ไม่อยากเสียภาษีจะหันมาซื้อชิปจากบริษัทเหล่านี้ โดยปัจจุบันผู้ที่ตั้งโรงงานและมีแผนลงทุนในสหรัฐ ประกอบด้วย
ล่าสุด Texas Instruments ผู้ผลิตจากสหรัฐฯ นับเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ล่าสุดที่ประกาศลงทุน 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน 7 โรงงานชิปทั่วสหรัฐฯ รวมถึงในรัฐเท็กซัส นอกจากนี้ยังมีบริษัทผลิตชิปจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ได้แก่
ที่มาข้อมูล CNBC
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -