
22 มิถุนายน 2025ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ปฏิบัติการภารกิจ “Midnight Hammer” โดยส่งกลุ่มเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 Spirit จำนวนทั้งหมด 7 ลำ เข้าโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมและสถาบันวิจัยนิวเคลียร์ในฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิสฟาฮาน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นนิวเคลียร์หลัก 3 แหล่งของอิหร่าน
ภารกิจในครั้งนี้ สำหรับสหรัฐฯ ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสามารถรอดพ้น การถูกตรวจจับใด ๆ จากอิหร่านได้ เจาะภารกิจโหดช็อกโลก การโจมตีนอกเหนือการคาดการณ์ของสหรัฐในครั้งนี้
นับเป็นปฏิบัติการทางยุทธวิธี ด้วยเครื่องบิน B-2 Spirit ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นภารกิจที่ยาวนานเป็นอันดับสอง รองจากภารกิจที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 เมื่อปี 2001และทำให้ชื่อของเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่าง B-2 Spirit กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง ในแง่ของรูปทรงที่ดูแปลกตา ความสามารถเฉพาะตัว อนุภาพการทำลายล้าง และงบประมาณในการขึ้นบินในแต่ละครั้งที่สูงมาก
สำหรับ เครื่องบิน B-2 Spirit Stealth Bomber หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า B-2 Spirit หรือ B-2 เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนที่ใช้เทคโนโลยี Stealth ขั้นสูงของสหรัฐฯ สามารถลดหรือหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับเรดาร์ และระบบป้องกันต่าง ๆ ได้ ที่สามารถบรรทุกทั้งอาวุธธรรมดา และอาวุธนิวเคลียร์ได้
ในเครื่องบินจะมีลูกเรือทั้งหมด 2 คน โดยนักบินนั่งที่ด้านซ้าย และผู้บังคับภารกิจจะนั่งอยู่ที่ฝั่งขวา โดยในปัจจุบัน สหรัฐมีเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ประจำการอยู่ในฐานทัพทั้งหมด 20 ลำ ผลิตโดย Northrop Grumman Croporation ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2.1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือราว ๆ 6.9 หมื่นล้านบาทต่อลำ ถือว่าเป็นเครื่องบินที่แพงที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาในประวัติศาสตร์โลก
ค่าใช้จ่ายในการสร้างที่เยอะขนาดนี้ ไม่ได้จบแค่ค่าสร้าง แต่ยังมีค่าใช้จ่ายในการออกภาระกิจ หรือค่าใช้จ่ายรายชั่วโมงเมื่อเครื่องบินได้บินออกจากรันเวย์ไปแล้วด้วย จากรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ค่าดำเนินงานของเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 Spirit อยู่ที่ราว ๆ 150,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อชั่วโมง หรือราว ๆ 4.9 ล้านบาทต่อชั่วโมงเลยทีเดียว
โดยในหนึ่งภารกิจ เมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา การเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ การวางแผน เรื่อยไปจนถึง เครื่องบินสนับสนุน ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบหรือแสดงแสนยานุภาพเชิงยุทธศาสตร์ จะมีค่าใช้จ่ายต่อภารกิจราว ๆ 3 - 4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือราว ๆ 98 - 131 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีต้นทุนต่อการสร้างหรือใช้งานที่สูง แต่เมื่อเทียบกับศักยภาพของตัวมันที่สามารถพาสหรัฐฯ บรรลุภารกิจที่ยากต่าง ๆ ได้ เช่น สงครามโคโซโว ในปี 1999 , สงครามอิรัก ในปี 2003 และปฏิบัติการทางทหารในลิเบีย ในปี 2011 เป็นต้น ก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า และสมราคาสำหรับกองทัพอากาศสหรัฐฯ
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney