GDP ของประเทศญี่ปุ่นลดลง 0.2% โดยมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจที่เปราะบางและมีความผันผวนสูง เพราะปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความกดดันจากอัตราการเกิดที่ต่ำ คนใช้จ่ายน้อยลง และตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเป็น 3.6% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพราะราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงมากขึ้น
สื่อต่างประเทศรายงานว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการหดตัวในไตรมาส 1/2568 โดย GDP ของประเทศญี่ปุ่นลดลงในอัตรา 0.2% จากปีก่อน ซึ่งนับว่าน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์เอาไว้ว่าจะลดลงในอัตรา 0.7% แต่ก็ไม่ได้อยู่ระดับที่ดีนัก
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เผยว่าพวกเขาจะพยายามรักษาจุดยืนที่มั่นคงและชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความเปราะบางและ “ผันผวนสูง” สาเหตุจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
คาซึตากะ มาเอดะ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยเมจิ ยาสุดะ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจาก GDP เพียงอย่างเดียว เป็นเรื่องยากสําหรับ BOJ ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความกดดันจากอัตราการเกิดที่ต่ำ คนใช้จ่ายน้อยลง และตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเป็น 3.6% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพราะราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น
ผู้บริโภคหลายล้านคนในญี่ปุ่นต้องรับมือกับราคาต้นทุนของอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่ราคาเคยตกฮวบและการค้าขายซบเซา แต่ตอนนี้คนญี่ปุ่นถึงกับต้องยอมต่อคิวจากชั้นวางสินค้ายาวไปจนถึงหน้าร้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพียงเพื่อให้ได้ซื้อข้าวที่ราคาถูกกว่าในซูเปอร์มาร์เก็ตติดมือกลับบ้านไป
ไม่ใช่เพียงแค่ข้าวเท่านั้นที่แพงขึ้นมากขึ้น 2 เท่าจากปีก่อน หรือคิดเป็น 98.4% ของต้นทุนข้าวที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1971 แต่ราคาของอาหารสดก็แพงขึ้น 3.5% จากปีก่อนเช่นกัน
ด้วยการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในประเทศที่พุ่งสูงเกินกว่ารายได้ ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในประเทศ แม้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของญี่ปุ่นอย่าง ทาคุ เอโตะ จะลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และอิชิบะ นายกของประเทศญี่ปุ่นจะให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะหาทางปรับราคาข้าวให้ต่ำลงกว่า 4,000 เยน (ประมาณ 905 บาท) ต่อ 5 กิโลกกรัม แต่ก็ยังไม่ช่วยให้ชาวญี่ปุ่นวางใจกับเศรษฐกิจได้เพราะพวกเขามองว่านี่เป็นการเรียกคะแนนความนิยมให้กลับมาก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่เท่านั้น
ความตึงเครียดจากการที่ราคาสินค้าในประเทศมีราคาแพงขึ้นทำให้กำลังซื้อในครัวเรือนลดลงจากปีก่อน 0.1% รวมถึงค่าจ้างในตลาดแรงงานของชาวญี่ปุ่นยังคงลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่มีนาคม อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นที่ขึ้นสูงแตะ 3.6% สะท้อนให้เห็นว่ารายรับของคนในประเทศโตไม่ทันรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
การเงินที่ไม่มั่นคงและเศรษฐกิจที่ผันผวนจากการบริหารงานของรัฐบาลญี่ปุ่น ทำให้การใช้จ่ายลดลงและสร้างแรงกดดันให้อัตราการเกิดน้อยสุดในประวัติศาสตร์ด้วยอัตรา 686,000 คนในปี 2024 ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ญี่ปุ่นอาจต้องเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานสูงถึง 6.3 ล้านคนในปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ Persol Research and Consulting และอาจส่งผลกระทบต่อระบบประกันสังคมของประเทศ
แม้ว่าการที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นหดตัวในไตรมาสแรกนั้นส่วนใหญ่มาจากการค้าที่ซบเซาและการใช้จ่ายในประเทศที่น้อยลงของคนในประเทศ แต่ทิศทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอาจเปลี่ยนไปในอนาคตหากมีข้อสรุปที่แน่ชัดและลงตัวกับการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ถูกเรียกเก็บ 25% หากการเจรจาผ่านไปได้ด้วยดีอาจทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นฟูในเร็ววัน
อ่านข่าวกับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้