
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ได้ทำหน้าที่เป็นเสมือน “ภาษากลาง” ของระบบการค้าโลก ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นในระบบการเงินระหว่างประเทศมาช้านาน
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกิดกระแส “De-Dollarization”หรือ แนวโน้มที่หลายประเทศทั่วโลก พยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เช่น การค้าขาย การกู้ยืม การสะสมเงินสำรอง หรือ การตั้งราคาสินค้าอย่าง น้ำมัน
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เปิดโอกาสให้สกุลเงินอื่น ๆ เช่น ยูโร (EUR) และปอนด์สเตอริง (GBP) ได้มีบทบาทมากขึ้นในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ สร้างความหลากหลายและความยืดหยุ่นในระบบการเงินโลก
ด้วยเหตุผลที่ว่า แม้สหรัฐฯ จะเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจ แต่ในช่วงหลัง หลายประเทศเริ่มรู้สึกว่า ...
1.ดอลลาร์ผันผวนเยอะ
2.สหรัฐฯ ใช้เงินดอลลาร์เป็นเครื่องมือทางการเมือง (มากเกินไป)
3.ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อยากพึ่งพาตัวเองมากขึ้น
ทำให้ ดูเหมือนตอนนี้ โลกไม่ได้ผูกชะตาไว้กับ “เงินดอลลาร์”เพียงสกุลเดียวอีกต่อไป แต่เลือกใช้ หลายสกุลเงินควบคู่กัน เพื่อความมั่นคง คล่องตัว และลดความเสี่ยงระยะยาว
ข้อมูลยืนยันถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกดังกล่าว ยังชี้ว่า สัญญาณใหม่ของเวทีการเงินโลก ยังมาจาก การที่จีนเดินเกมรุกด้วยการผลักดันให้หยวนจีน (CNY) ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินหลักในธุรกิจระหว่างประเทศอย่างน่าจับตา และเติบโตอย่างมีนัย
SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) เผยว่า แม้ขณะนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังคงครองตำแหน่งสกุลเงินหลักในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 42.0% ในเดือน มิ.ย. ปี 2023 เป็น 47.08% ในเดือนมิ.ย. ปี 2024
ขณะที่หยวนจีนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 2.77% เป็น 4.61% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นการที่หยวนจีนแซงขึ้นมาเป็นอันดับ 4 แทนที่เยนญี่ปุ่น เมื่อดูที่ตัวเลขอาจจะดูไม่มาก แต่ความเป็นจริงคือการเติบโตเกือบเท่าตัวของหยวนจีนในการใช้เป็นสกุลเงินในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
เทียบสัดส่วนการใช้งาน
เมื่อมาพิจารณาความผันผวนในช่วงปี 2023– 2025 ดอลลาร์สหรัฐ ก็มีความผันผวนถึง 9% ในขณะที่สกุลเงินท้องถิ่นในเอเชียไม่ว่าจะหยวนจีน บาทไทย หรือเยนญี่ปุ่น มีความผันผวนเพียง 3% เท่านั้น
สำหรับปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มาจาก ความพยายามของจีนในการส่งเสริมการใช้หยวน โดยจีนได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการใช้หยวนจีนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เช่น การขยายระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน (CIPS) และการจัดตั้งธนาคารเคลียร์ริ่งหยวนจีนในหลายประเทศ
แต่ทั้งนี้ ก็ยังมีข้อกังขาในด้านการควบคุมเงินทุนและความไม่โปร่งใสในตลาดการเงิน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการยอมรับหยวนจีนในระดับสากล
อย่างไรก็ตาม กลับพบว่า ประเทศในเอเชีย มีการสกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างความได้เปรียบต่างๆ และมีความสำคัญกับธุรกิจและผู้ประกอบการในเชิงการค้า ดังนี้
-ไม่ต้องผ่านดอลลาร์สหรัฐ ช่วยลดความเสี่ยงจากความผัวผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อแปลงสกุลและค่าธรรมเนียม
-ช่วยให้ประเทศมีภูมิคุ้มกันจากความผันผวนของดอลลาร์สหรัฐ
-เอเชียสามารถร่วมมือกำหนดแนวนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ตอบโจทย์ภูมิภาค
-สร้างความแข็งแกร่งระดับภูมิภาค ในการเจรจาและทำธุรกิจได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ขึ้นกับตลาดทุนตะวันตก
จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของระบบการเงินโลกที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว โดยที่ “ดอลลาร์”ไม่ใช่ทางเลือกเดียวอีกต่อไป
ที่มา : finbiz by ttb
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney