หลายคนดีใจว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งไปเจรจาความกันในเรื่องภาษีและการกีดกันทางการค้ากันที่ประเทศเป็นกลางอย่างสวิตเซอร์แลนด์ จบลงด้วยดีแล้ว โดยสหรัฐฯเสนอปรับภาษีให้สินค้านำเข้าของจีนลดลงจากที่ป่าวประกาศแบบข่มขู่ไปว่า จะสูงถึง 145% เหลือ 80%
80%...ฟังดู ใครๆก็คงจะรู้ได้เองว่า เป็นไปไม่ได้ ยิ่งฝ่ายจีนยังสงวนท่าทีไม่ได้ ให้ความเห็นใดๆก็ยิ่งน่าคิดว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะยังอยู่อีกไกล
ทีนี้ยิ่งไกลออกไปทั้งสองประเทศ ตลอดจนถึงประเทศอื่นๆทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ก็ยิ่งจะได้รับผลกระทบ
เอาแค่เรื่องเล็กๆอย่างทองคำ ขณะนี้มีคนร้องโอดโอยกันแล้วว่า ราคาทองคำร่วงลงแรง จนทำเอาพวกเขาติดยอดดอย และไม่รู้ว่าราคาจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกเมื่อไหร่
ก็นะ จริงๆผู้ค้าทองคำจากหลายบริษัทเตือนไว้ก่อนหน้าแล้วว่า ถ้าไม่ใช่นักลงทุนที่ถือยาว ก็อย่าโดดลงไปเล่นเลย เพราะราคาสูงแล้ว จะได้ไม่ต้องมาร้องโอดโอยกันวันหลัง
แต่เอาเถอะ เมื่อสงครามยังไม่จบ ยังนับศพทหารไม่ได้ ราคาทองคำก็ยังมีโอกาสจะกลับขึ้นไปสูงได้อีก ภายใต้สมมติฐานว่า ราคาจะไม่ต่ำลงกว่าบาทละ 50,000 บาท สำหรับทองแท่ง ส่วนราคาตลาดโลกนัยว่า ไม่น่าจะต่ำกว่า 3,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมด้วยว่า สาเหตุหนึ่งที่ราคาทองคำในประเทศไทยร่วงลงมากก็เพราะเงินบาทแข็งค่าขึ้น
ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงจากปัญหาภายในประเทศที่เป็นต้นเหตุทำให้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ต้องหันมาใช้มาตรการทำให้สหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการตั้งกำแพงภาษีกีดกันการค้าสูงโด่งกับทุกประเทศในโลก
นักวิเคราะห์ตลาดค้าทองคำยังให้ความเห็นว่า การที่จีนสงวนท่าทีด้วยการไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย อาจเป็นเพราะประธานาธิบดีทรัมป์ ยื่นข้อเสนอให้จีนต้องทำเรื่องต่างๆตามที่เขาต้องการมากเกินไป
เช่น จีนต้องเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯให้มาก รับซื้อสินค้าจากสหรัฐฯเข้าไปขายให้มากกว่านี้
หรือทำให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นโดยไม่เอาเปรียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน ก็อย่าขายสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐฯออกมาอีก
เพราะยิ่งจีนทำเช่นนั้น ราคาสินทรัพย์อย่างพันธบัตร หรือหุ้นกู้ของสหรัฐฯ ก็ยิ่งราคาตกลง
เรื่องสำคัญอีกประการของสหรัฐฯก็คือ มีหนี้หุ้นกู้ที่อยากให้จีนช่วยซื้อไว้หรือยืดระยะเวลาที่สหรัฐฯต้องชำระในปีหน้าสูงถึง 17 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯออกไป
ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจถึงคราวเกิดฟองสบู่แตก และเศรษฐกิจถดถอยลงยาวนานอีกครั้ง ด้วยเหตุที่พิมพ์แบงก์ออกมาไม่ได้อีกเพื่อจะออกมาตรการ QA อัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบอีก ซึ่งจะยิ่งทำให้การขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นไป
ก็ต้องดูกันต่อไปว่า วิธีการตบหัวแล้วลูบหลังของตาทรัมป์ จะได้ผลหรือยิ่งทำให้คนทั้งโลกเกลียดชังคนอเมริกันที่มีอยู่แค่ 250 ล้านคน แค่ไหน.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม