ครบ 100 วัน โดนัลด์ ทรัมป์ ฉีกทุกกฎ เขย่าทุกระบบ คะแนนนิยมต่ำ ความเชื่อมั่นหด คนผวาเศรษฐกิจถดถอย

Economics

Global Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ครบ 100 วัน โดนัลด์ ทรัมป์ ฉีกทุกกฎ เขย่าทุกระบบ คะแนนนิยมต่ำ ความเชื่อมั่นหด คนผวาเศรษฐกิจถดถอย

Date Time: 30 เม.ย. 2568 09:57 น.

Video

ทองคำถึงเวลา "ตักตวง" หรือ "เทขาย" ? จบรอบขาขึ้นหรือยัง ? | Night Stand EP.2

Summary

  • ครบ 100 วันของการกลับคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีและทำงานในทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ครั้งนี้มาด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เหมือนเดิม จนทำให้ 3 เดือนแรกนี้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทั้งเขย่ารัฐบาลกลางสหรัฐฯ ป่วนเศรษฐกิจ จนสงครามการค้ารุนแรงขึ้น ตลอดจนสร้างผลกระทบด้านสังคม และส่งผลต่อเวทีโลกอย่างรุนแรง พร้อมกับส่งสัญญาณว่า สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เหมือนเดิม และในระยะเวลาเพียง 100 วันแรก ก็ได้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาให้ทุกคนได้ติดตามข่าวกันต่อเนื่อง ทั้งการเขย่ารัฐบาลกลาง ป่วนเศรษฐกิจ สร้างผลกระทบด้านสังคม และเวทีโลกอย่างรุนแรง พร้อมส่งสัญญาณว่า สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

การกลับมาสู่อำนาจในครั้งที่ 2 นี้ Times รายงานว่า เปรียบเสมือนการกลับคืนสู่กระบวนการทำงานที่จะมาทำต่อจากที่สมัยแรกได้ลองสอดส่องและวางหมากไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ในช่วง 3 เดือนแรกของการทำหน้าที่ประธานาธิบดีจึงเห็นการลงนามใน Executive Order กว่าร้อยฉบับ และเร่งนโยบายต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นในทันที

อย่างไรก็ตาม คะแนนนิยมของ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังลดลงอย่างน่ากังวลในครบ 100 วันของการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยผลโพลล่าสุดจาก CNN, Washington Post-ABC News-Ipsos และ NBC News พบว่า คะแนนนิยมของทรัมป์อยู่ระหว่าง 39%-45% ซึ่งถือเป็นคะแนนต่ำที่สุดสำหรับประธานาธิบดีที่เพิ่งรับตำแหน่งในรอบกว่า 70 ปี ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นในตัวเขาด้านเศรษฐกิจก็ลดลงเช่นกัน โดยโพล CNN/SSRS ชี้ว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ลดลงถึง 13 จุด เหลือเพียง 52% และ 72% ของคนอเมริกันเชื่อว่านโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์จะทำให้เกิดภาวะถดถอยในระยะสั้น

นอกจากนี้ คนอเมริกันยังไม่พอใจการจัดการปัญหาการค้าและภาษี (61% ไม่เห็นด้วย) และการรับมือเงินเฟ้อและค่าครองชีพ (60% ไม่เห็นด้วย) ขณะที่คะแนนนิยมด้านนโยบายคนเข้าเมืองของทรัมป์ก็ร่วงลงจาก 60% เหลือ 45% ในเวลาเพียง 3 เดือน สะท้อนว่าทรัมป์กำลังเผชิญแรงต้านจากประชาชนอย่างรุนแรงที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของเขาในขณะนี้

ในบทความนี้ Thairath Money จะมาสรุปให้ว่า 100 วันที่ผ่านมาทรัมป์ทำอะไรไปแล้วบ้าง และแต่ละเรื่องส่งผลสะเทือนขนาดไหน

เศรษฐกิจ: เปลี่ยนยุคทองสู่ความกังวล

แค่ในระยะเวลา 3 เดือนแรกของการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 โดนัลด์ ทรัมป์ได้สร้างความสั่นสะเทือนหลายอย่างให้กับเศรษฐกิจโลก จนส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งลง ตลาดหุ้นสั่นสะเทือน นักลงทุนเริ่มไม่เชื่อมั่นในเสถียรภาพนโยบาย

หนึ่งในนั้น คือ มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศคู่ค้า ที่จะมีผลในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ซึ่งทรัมป์มองว่าจะเป็นผลดีต่อสหรัฐอเมริกาในระยะยาว แต่ในช่วงเริ่มต้น 100 วันแรกนี้สถานการณ์กลับตรงกันข้าม

ด้วยอำนาจฝ่ายบริหาร ทรัมป์สามารถพลิกโฉมเศรษฐกิจได้โดยแทบไม่ต้องพึ่งเสียงสนับสนุนจากสภาคองเกรสที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก เดินหน้าแผนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการตั้งกำแพงภาษีต่อคู่ค้าอันดับ 1 และ 2 ของสหรัฐฯ อย่างเม็กซิโกและแคนาดา ขณะเดียวกัน สินค้านำเข้าจากจีนก็ถูกเก็บภาษีรวมสูงถึง 145%

มาตรการกีดกันการค้าเหล่านี้ ส่งผลให้ความตึงเครียดกับสหภาพยุโรป (EU) รุนแรงขึ้น และยังผลักดันให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้วิ่งเข้าหาโต๊ะเจรจาอย่างเร่งด่วน แม้สหรัฐฯ จะมีหลักฐานชัดเจนถึงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลก แต่ทรัมป์ยังคงยืนกรานว่าสหรัฐฯ “ถูกเอาเปรียบ” ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ

ทรัมป์อ้างว่า มาตรการภาษีนี้จะช่วยสร้างงานในภาคโรงงานในประเทศ และยังช่วยหาทุนสำหรับแผนการลดภาษีเงินได้ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้า รวมถึงนำไปใช้ในการชำระหนี้สาธารณะของประเทศซึ่งสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นเครื่องมือกดดันเพื่อเจรจาการค้าใหม่ให้เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม งานศึกษาจาก The Budget Lab ของ Yale University ระบุว่า มาตรการภาษีดังกล่าว อาจทำให้รายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้ของครัวเรือนเฉลี่ยลดลงถึง 4,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทรัมป์พยายามใช้ตำแหน่งประธานาธิบดีประกาศโครงการลงทุนหลายโครงการ แม้ว่ายังไม่เห็นผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม เช่น การพูดถึงการลงทุนมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐใน AI ร่วมกับ OpenAI, Oracle และ SoftBank หรือการเชิญผู้บริหาร Hyundai มาแถลงข่าวเปิดโรงงานเหล็กใหม่ ทว่าข้อมูลล่าสุดชี้ว่า การก่อสร้างโรงงานกลับลดลงในเดือนกุมภาพันธ์ และนักวิเคราะห์เอกชนหลายสำนักต่างพากันปรับเพิ่มโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้

Howard Lutnick รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ทรัมป์จะเข้ามารับผิดชอบอย่างเต็มตัวต่อในการดูแลสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลเริ่มเห็นผลเต็มรูปแบบ

DOGE: ส่งอีลอน มัสก์ลุยกวาดล้างข้าราชการ

โดนัลด์ ทรัมป์ เคยให้คำมั่นว่าจะจัดการกับ “การทุจริต และการใช้งบประมาณอย่างไร้ประสิทธิภาพ” ในรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมอบหมายให้ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักเทคโนโลยีเข้ามาเป็นผู้นำภารกิจนี้

มัสก์ เริ่มต้นแผนก่อตั้งกระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาลหรือ DOGE (Department of Government Efficiency) ขึ้นมา ส่งผลให้กลายเป็นหนึ่งในนโยบายที่ทั้งขัดแย้งและส่งผลกระทบมากที่สุดในช่วง 100 วันแรกของรัฐบาลทรัมป์

ด้วยแนวคิดแบบสตาร์ทอัพสายเทคโนโลยี มัสก์ลงมือปฏิรูปด้วยแนวทาง “พังสิ่งเดิมให้ได้ก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะซ่อมอะไร” การปลดคนออกจากงานเป็นไปอย่างกว้างขวางและไร้ข้อจำกัด โปรแกรมโครงการต่าง ๆ ถูกยกเลิกโดยแทบไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึก ขณะที่ผลกระทบต่อชีวิตประชาชน ถูกปล่อยให้เป็นปัญหาให้คนอื่นจัดการ

ทีมงานของมัสก์สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลสำคัญ ๆ และเจาะลึกเข้าไปในหน่วยงานเล็ก ๆ ที่รับผิดชอบการบริหารบุคลากรของรัฐบาลกลางและทรัพย์สินของรัฐบาล

ต้องบอกก่อนว่า การลดขนาดระบบราชการลงคือหนึ่งในความใฝ่ฝันของพรรครีพับลิกัน แต่แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดในศึกงบประมาณของวอชิงตัน ก็ยังตกตะลึงกับความเร็วและความดุดันของผลงานจากทีมของมัสก์

อย่างไรก็ตาม DOGE ก็มีจุดผิดพลาดเช่นกัน โดยเฉพาะการกล่าวอ้างว่าสามารถประหยัดงบประมาณได้มหาศาล ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยมัสก์ได้ประเมินตัวเลขการทุจริตเกินจริง และการโจมตีโครงการประกันสังคม (Social Security) ที่เขาเรียกว่าเป็น “แชร์ลูกโซ่” (Ponzi scheme) จนทำให้กลุ่มผู้เกษียณอายุทั่วประเทศวิตกกังวลอย่างหนัก

โครงการใหญ่ของมัสก์ดูเหมือนจะไม่บรรลุเป้าหมายตามแผนที่วางไว้ เดิมทีเขาตั้งเป้าลดงบประมาณรัฐบาลลง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในที่สุดต้องลดเป้าเหลือเพียง 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และแม้ว่าจะมีอุปสรรค แต่ทั้งทรัมป์และมัสก์ต่างก็ชื่นชมซึ่งกันและกันอย่างออกนอกหน้า

นโยบายต่างประเทศ: ฉีกทุกกฎที่เคยมี

โดนัลด์ ทรัมป์ เดินเกมนโยบายที่ทั้งโลกรุมจับตา ด้วยการพลิกแนวทางทางการทูตและผู้อพยพอย่างสุดโต่ง สั่นคลอนเสถียรภาพของระเบียบโลกที่ยืนยาว สิ่งที่เราทราบกันดีคือ โดนัลด์ ทรัมป์ คือบุคคลที่ปฏิเสธระเบียบโลกที่ถูกร่างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของเสถียรภาพและความมั่นคงระดับโลกมายาวนานกว่า 70 ปี

ทรัมป์แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ยึดติดกับพันธมิตรแบบเดิม และยังส่งสัญญาณถอยห่างจากพันธมิตรดั้งเดิม เช่น เยอรมนีและฝรั่งเศส พร้อมพิจารณาลดการประจำการของทหารสหรัฐฯ ในยุโรป สร้างความไม่มั่นใจให้กับพันธมิตรหลายประเทศที่เคยพึ่งพาสหรัฐฯ มายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นแคนาดา ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้

พร้อมกับมีนโยบายจะถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยกเลิกข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมโลก

แม้จะให้คำมั่นว่าจะยุติสงครามในยูเครนและกาซาอย่างเร่งด่วน แต่สถานการณ์กลับยังคงยืดเยื้อ ขณะที่การต้อนรับผู้นำยูเครนอย่างเปิดเผยด้วยการตำหนิต่อหน้าสื่อมวลชน และการกล่าวอ้างซ้ำ ๆ อย่างผิดพลาดว่า “ยูเครนเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม” ก็ยิ่งทำให้พันธมิตรในยุโรปสั่นคลอนความเชื่อมั่นในตัวผู้นำสหรัฐฯ คนนี้มากขึ้น

ด้านในประเทศ ทรัมป์เดินหน้าเต็มสูบในแคมเปญกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งทางการเมืองของเขา ด้วยการรื้อฟื้น Alien Enemies Act ที่มีมาตั้งแต่ปี 1798 เพื่อเนรเทศผู้อพยพโดยแทบไม่มีขั้นตอนการพิจารณาคดี และใช้กฎหมายดังกล่าวส่งผู้ต้องสงสัยเป็นแก๊งอาชญากรรมชาวเวเนซุเอลาไปยังเรือนจำในเอลซัลวาดอร์ แม้จะขัดคำสั่งศาล

รัฐบาลของทรัมป์ยังทำการส่งทหารไปคุมชายแดน ใช้เครื่องบินทหารเนรเทศผู้อพยพในบางกรณี สั่งห้ามผู้อพยพที่เดินทางผ่านพรมแดนทางใต้ยื่นขอลี้ภัย และเปลี่ยนแอป CBP One ที่เคยใช้ขอนัดเข้าสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมาย ให้กลายเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ผู้อพยพยอมกลับประเทศโดยสมัครใจ

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเสนอแนวคิดยกเลิกสิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิด (Birthright Citizenship) และเสนอขายบัตรทอง มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ชาวต่างชาติแลกกับสัญชาติอเมริกัน พร้อมกับยังมีการพยายามยกเลิกสถานะผู้อพยพชั่วคราว และนำหมายเลขประกันสังคมของผู้อพยพที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายไปขึ้นบัญชีผู้เสียชีวิตอีกด้วย

และก็ถือว่าเห็นผลตามหวังของทรัมป์เกินคาด เพราะมาตรการทั้งหมดส่งผลให้การลักลอบเข้าเมืองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตัวเลขการจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองลดลงถึง 95% เทียบกับปี 2024

และยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ยังพยายามที่จะเปลี่ยนชื่อ “Gulf of Mexico” เป็น “Gulf of America” เพื่ออ้างสิทธิเป็นของอเมริกา พร้อมกับแขวนภาพแผนที่ใหม่ไว้ในห้องทำงานในทำเนียบขาว และนอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องของการโจมตีนโยบายด้านความหลากหลายและความเท่าเทียม (DEI) ปลดทหารหญิงยศสี่ดาวเพียงคนเดียวออก พร้อมกับห้ามไม่ให้บุคคลข้ามเพศสมัครเข้าเป็นทหาร

พลังงานและสิ่งแวดล้อม: ล้มกฎเดิม ผลักโลกกลับสู่ยุคน้ำมันและก๊าซ

โดนัลด์ ทรัมป์ พลิกแนวนโยบายของสหรัฐฯ จากยุคไบเดนอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เน้นลดโลกร้อน มาเป็นการผลักดันเป้าหมายที่เขาเรียกว่า “ครองความเป็นเจ้าแห่งพลังงานโลก” ของสหรัฐฯ

ทรัมป์ได้จัดตั้งสภาครองความเป็นเจ้าแห่งพลังงานแห่งชาติ (National Energy Dominance Council) โดยแต่งตั้ง Doug Burgum รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ Chris Wright รัฐมนตรีพลังงาน เป็นหัวเรือใหญ่ พร้อมสั่งการให้เร่งเดินหน้าเพิ่มการผลิตพลังงานของสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว โดยเฉพาะการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ พร้อมทั้งล้มกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวในภาคพลังงาน

แม้ก่อนหน้านี้ ทรัมป์จะนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว แต่ในวาระที่สองของเขา ทรัมป์ยิ่งเดินหน้ารื้อถอนกฎสิ่งแวดล้อมเชิงลึกอย่างดุเดือดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎควบคุมมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน, รถยนต์ หรือภาคอุตสาหกรรมการผลิต ตามแผนล้ม “ศาสนาโลกร้อน” (Climate-Change Religion) ที่ทรัมป์มองว่าเป็นแนวคิดสุดโต่ง

Lee Zeldin ผู้ดูแลสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (EPA) ประกาศดำเนินมาตรการถอดถอนกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมฉบับสำคัญหลายฉบับ รวมถึงแผนล้มล้างผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ปี 2009 ของ EPA ที่เคยเป็นพื้นฐานทางกฎหมายสำคัญในการดำเนินนโยบายต้านโลกร้อนของสหรัฐฯ มาตลอดหลายทศวรรษ

ศิลปวัฒนธรรม: กวาดล้าง “วัฒนธรรม Woke”

เมื่อกลับคืนสู่ทำเนียบขาว ทรัมป์ได้ปลดผู้นำองค์กรวัฒนธรรมหลายแห่ง สั่งพักงานเจ้าหน้าที่ และตัดงบประมาณสนับสนุนศิลปิน ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ โรงละคร และชุมชนวัฒนธรรมอื่น ๆ เป็นมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดำเนินการโดยไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส

ทรัมป์ประกาศว่า สถาบันต่าง ๆ เช่น ศูนย์ศิลปะการแสดงจอห์น เอฟ. เคนเนดี (Kennedy Center), กองทุนสนับสนุนศิลปะแห่งชาติ (NEA) และกองทุนสนับสนุนมนุษยศาสตร์แห่งชาติ (NEH) กลายเป็นแนวหน้าของวาระการเมืองสาย “Woke” ซึ่งเขามองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า วิสัยทัศน์แห่งยุคทองของศิลปะและวัฒนธรรมของสหรัฐฯ

องค์กรเหล่านี้ส่วนใหญ่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1960 ภายใต้โครงการ Great Society ของประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมอเมริกันมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลสูง และการส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมถือเป็นวาระแห่งชาติ ด้วยการสนับสนุนร่วมกันจากทั้งสองพรรคการเมือง

ด้าน NEA จึงออกมากางผลงานวิจัย เปิดเผยผลการศึกษาโดยรัฐบาลล่าสุดว่า ศิลปะมีส่วนเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และในช่วงที่ทรัมป์ได้ตั้งกำแพงภาษีกับหลายประเทศ ศิลปะยังกลายเป็นภาคเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยมูลค่าส่งออกสินค้าและบริการด้านศิลปะของสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงกว่าการนำเข้าถึงเกือบ 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

สื่อมวลชน: เปิดฉากกับสื่ออย่างเป็นทางการ

ตั้งแต่ช่วงหาเสียง มีหลายสำนักข่าวคาดการณ์ว่า วาระที่สองของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับวงการสื่อ แต่ก็ไม่คาดคิดว่า ความตึงเครียดจะทวีความรุนแรงถึงเพียงนี้

รัฐบาลชุดใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเกมรุกกับสื่อมวลชนอย่างแข็งกร้าวและแปลกใหม่ นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ทั้งการดำเนินคดีฟ้องร้อง CBS News และสำนักข่าว Associated Press, ความพยายามรื้อถอน Voice of America (VOA) สื่อภาครัฐที่ทำหน้าที่กระจายข่าวสารในระดับโลก และการส่งสำนักงานคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของรัฐบาลกลาง (FCC) ไปกดดันคู่แข่งในวงการสื่อที่มองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม

ด้านทำเนียบขาวก็ยังได้ตั้งช่องโซเชียลมีเดียสายตอบโต้ฉับไว เพื่อโพสต์เนื้อหาโต้แย้งและจับผิดข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องทุกวัน

ศาสตราจารย์ Bill Grueskin จาก Columbia University ให้ความเห็นว่า “รัฐบาลทรัมป์กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อลดบทบาทและขัดขวางการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในสหรัฐฯ”

การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ในวาระที่สองนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงนโยบายบางด้าน แต่เป็นการเขย่าระบบเดิมในแทบทุกมิติ ตั้งแต่การพลิกระเบียบโลก, รื้อกฎเกณฑ์สิ่งแวดล้อม, ปฏิรูปนโยบายคนเข้าเมืองอย่างแข็งกร้าว, กวาดล้างการสนับสนุนศิลปะวัฒนธรรม ไปจนถึงการเปิดศึกเต็มรูปแบบกับสื่อมวลชน

นโยบายที่ทรัมป์ผลักดัน ยังก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างหนักทั้งภายในประเทศและบนเวทีโลก จนแนวทางที่เรียกได้ว่าเผชิญหน้าแทบทุกด้านของเขา ได้สร้างทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ โลกก็ยังคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า “ยุคทอง” ที่ทรัมป์ประกาศว่าจะสร้างขึ้นใหม่ จะเป็นจริงดังที่เขาตั้งเป้าหมายไว้ หรือจะกลายเป็นอีกหนึ่งบททดสอบใหญ่ที่ทิ้งร่องรอยแห่งความเปลี่ยนแปลงเอาไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ อีกครั้ง

ที่มา: AP, Times, Nikkei AsiaCNBC

ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ