
BlackRock Inc. ยักษ์ใหญ่ด้านการบริหารสินทรัพย์ระดับโลก และ UBS สถาบันการเงินระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้ออกมาเตือนและวิเคราะห์ผลกระทบจากภาษีชุดใหม่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ออกมาเตือนแรงผ่านเวทีสัมภาษณ์ที่ Economic Club of New York ว่า ซีอีโอส่วนใหญ่ที่เขาพูดคุยด้วยมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะถดถอย (Recession) พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าตลาดหุ้นอาจร่วงลงได้อีก หากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจโลก
“เศรษฐกิจกำลังอ่อนแรงลงในขณะนี้ และภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะยิ่งหนักขึ้นในช่วงเดือนข้างหน้า” Larry Fink กล่าว
พร้อมชี้แจงเพิ่มเติมว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้หลายครั้งในปีนี้ตามที่ตลาดคาดหวังไว้ โดยเขายกตัวอย่างว่าตอนนี้ ผู้บริหารสายการบินหลายรายเริ่มรู้สึกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด หลังพบว่าความต้องการเดินทางของผู้บริโภคลดลงอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ได้เผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก จนสูญเสียมูลค่าไปรวมกันหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีแบบกะทันหัน ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกพากันเลี่ยงความเสี่ยงหันไปลงทุนในตราสารหนี้ และคาดว่า Fed จะต้องลดดอกเบี้ยเพื่อรองรับสถานการณ์นี้
“ในมุมมองระยะยาว ผมมองว่านี่คือโอกาสในการซื้อ มากกว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ควรขาย” Larry Fink กล่าว พร้อมทิ้งท้ายด้วยมุมมองที่ไม่ประมาทว่า “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดจะไม่สามารถร่วงลงได้อีก 20% จากจุดนี้”
และในช่วงท้าย Larry Fink ยังกล่าวต่ออีกว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนตัวลง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะชะลอตัว เนื่องจากทั้งผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจโดยรวมต้องปรับตัวรับผลกระทบจากนโยบายภาษีขนาดมหึมานี้ และแม้ว่าภาพระยะสั้นจะดูอึมครึม แต่คาดว่าในระยะยาว หากทรัมป์กลับมาโฟกัสที่นโยบายกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง ทุกอย่างก็อาจจะดีขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ของ UBS Group AG มาออกโรงเตือนว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้อาจทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชน (Corporate Bond Spreads) ขยายตัวแรงจนแตะระดับเดียวกับช่วงต้น ๆ ของการระบาดโควิด-19 ในปี 2020 เลยทีเดียว
โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังการประกาศมาตรการภาษี ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกก็ผันผวนหนัก ซึ่ง UBS เตือนว่า อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ให้กับเศรษฐกิจโลก และส่งผลให้หุ้นกู้บริษัทเอกชนมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นเหมือนตอนเกิดโควิด-19
จากข้อมูลของ Bloomberg ระบุว่า Spreads ของตราสารหนี้เกรดดี (Investment-grade) ปิดท้ายวันศุกร์ที่ 1.09% หรือ 109 basis points สูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024 ส่วน Spreads ของตราสารหนี้ขยะ (Junk Bonds) อยู่ที่ 427 basis points สูงสุดตั้งแต่พฤศจิกายน 2023
ซึ่งทาง UBS มองว่า ภายในกลางปี 2025 นี้ ตราสารหนี้เกรดดีมีโอกาสที่ Spreads จะเพิ่มเป็น 160-170 basis points ขณะที่ตราสารหนี้ขยะอาจพุ่งแตะ 600-650 basis points ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ยุคโควิด-19 โดยเฉพาะหากเทียบกับเส้นฐานที่ Fed มักเริ่มกังวลเมื่อ Spreads ของตราสารหนี้เกรดดีขยับเข้าใกล้ 150 basis points
หรือกล่าวง่าย ๆ คือ นักลงทุนจะต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นมาก เพราะกลัวบริษัทจะไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ ส่งผลให้หนี้ของบริษัทที่ดูมั่นคงจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6%-1.7% ขณะที่หนี้ของบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้วอาจพุ่งสูงขึ้นถึง 6%-6.5%
นอกจากนี้ ดัชนีความผันผวนของตลาด หรือ VIX Index ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ดัชนีวัดความกลัวของวอลล์สตรีท” พุ่งทะลุ 60 จุดในชั่วข้ามคืน หลังจากปิดที่ระดับ 45 ในวันศุกร์ที่ผ่านมา และปัจจุบันยังยืนอยู่แถว ๆ 50 จุด สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 20 อย่างมีนัยสำคัญ
Matthew Mish ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ของ UBS อธิบายว่า “แม้ VIX กับ Junk Bond Spreads จะเคยเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันในอดีต แต่ช่วงหลังกลับเริ่มแยกทาง เพราะฝั่งหุ้นมีการใช้ Leverage สูงขึ้น ในขณะที่ผู้ออกตราสารหนี้ขยะมีวินัยมากขึ้น จึงช่วยพยุงมูลค่าไว้ได้บ้าง”
ในขณะเดียวกัน ตลาดปฐมภูมิ (Primary Market) ก็ชะลอตัวลงแรงจนน่าตกใจ จนมีการออกมาแนะนำลูกค้าให้ชะลอการออกตราสารหนี้ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 มีผลมาจากตลาดที่ผันผวนหนัก นักลงทุนไม่กล้าซื้อพันธบัตรใหม่ สถาบันการเงินหลายแห่งจึงแนะนำให้ลูกค้ารอไปก่อน
โดย Matthew Mish กล่าวเสริมว่า “หากตลาดปฐมภูมิยังไม่กลับมาฟื้นตัวภายใน 4-5 สัปดาห์นี้ นักลงทุนจะเริ่มวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับภาพรวมของตลาดทุนโดยรวม และนั่นมักนำไปสู่การขยายตัวของ Spreads แบบรุนแรง”
ทั้งนี้ UBS ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยแบบไม่รุนแรงมากนัก (Mild Recession) เรียกแบบเข้าใจง่ายว่า เศรษฐกิจเริ่มแผ่ว คนเริ่มใช้เงินน้อยลง และบริษัทระวังการลงทุนมากขึ้น แต่อาจจะรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนพฤศจิกายนปีก่อน
แต่หากเศรษฐกิจสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้จริง Spreads ของตราสารหนี้เกรดดีอาจกลับมาอยู่ในช่วง 100-110 basis points และตราสารหนี้ขยะอยู่ในช่วง 375-425 basis points ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 หรือกล่าวได้ว่าถ้ามีการเปลี่ยนแปลง สหรัฐฯ อาจเลี่ยงภาวะถดถอยได้ และตลาดหนี้อาจกลับมาสงบลงในช่วงกลางปี
นอกจากนี้ UBS ยังคาดการณ์อีกว่า ภาษีชุดใหม่ของทรัมป์นี้อาจจะอยู่ต่อไปอีกประมาณ 9 เดือน แต่ถ้ามีการเจรจาและลดภาษีกันเร็ว ๆ ตลาดอาจกลับมาเป็นปกติเร็วขึ้น
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney