
Jamie Dimon ซีอีโอวัย 69 ปีของ JPMorgan Chase ออกโรงเตือนถึงนโยบายเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหม่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ว่าอาจเป็นแรงผลักดันให้ราคาสินค้าทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกาปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เริ่มแผ่วตัวอยู่แล้ว
Jamie Dimon ระบุในจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น ซึ่งมักเป็นเอกสารสำคัญที่บรรดานักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ การเมือง และการบริหารจัดการธุรกิจ
โดยมีส่วนหนึ่งในเนื้อหากล่าวว่า “ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับเหตุผลของการเก็บภาษีเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม มันมีผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวอย่างแน่นอน เราน่าจะได้เห็นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มากขึ้น ทั้งจากสินค้านำเข้าและสินค้าภายในประเทศ เพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และความต้องการซื้อสินค้าภายในก็เพิ่มขึ้นตาม”
เขายังได้กล่าวเสริมว่า “แม้จะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าภาษีเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือ จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลง”
และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ซีอีโอของธนาคารในวอลสตรีทรายใหญ่ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนต่อแนวนโยบายภาษีการค้าฉบับใหม่ของทรัมป์ ซึ่งเขย่าตลาดการเงินทั่วโลกจนเกิดการเทขายหนักที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ในปี 2020 ซึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เกิดแรงเทขายต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ทำให้มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ หายวับไปกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลาเพียง 2 วัน (วันพฤหัสบดีและศุกร์)
Jamie Dimon ซึ่งเคยระบุว่าตนเองเป็น “เดโมแครต” แต่มีมุมมองที่ห่างเหินจากพรรคมากขึ้นในช่วงหลัง พร้อมกับได้ออกมาเตือนถึง “ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น” มานานกว่าหนึ่งปีแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แม้ Jamie Dimon จะเคยกล่าวไว้ว่า “คนควรเลิกกังวลเรื่องภาษีได้แล้ว เพราะมันดีต่อความมั่นคงของชาติ” อย่างไรก็ตาม นโยบายภาษีที่ประกาศล่าสุดมีผลกระทบกว่าที่เคยถกเถียงกันในตอนนั้นมาก
โดย Jamie Dimon ยอมรับว่า นโยบายภาษีใหม่ของทรัมป์ได้สร้างความไม่แน่นอนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นกระแสเงินทุนโลก อัตราแลกเปลี่ยน ผลกระทบต่อกำไรบริษัท หรือปฏิกิริยาตอบโต้จากประเทศคู่ค้า
“ยิ่งจัดการเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะผลกระทบบางอย่างจะสะสมต่อเนื่องและยากที่จะมาแก้ไขในภายหลัง” เขากล่าว
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตต่อเนื่องมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากแรงหนุนของการใช้จ่ายภาครัฐและการกู้ยืมกว่า 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ Jamie Dimon ชี้ว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแสดงสัญญาณอ่อนแรง แม้ยังไม่รวมผลกระทบจากนโยบายภาษีล่าสุด
เขายังเตือนว่า ภาวะเงินเฟ้ออาจเหนียวแน่นมากกว่าที่หลายคนคาด ทำให้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะอยู่ในระดับสูง แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตาม
“เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความปั่นป่วนหลายด้าน ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ การปฏิรูปภาษีและการลดกฎระเบียบ ตลอดจนเรื่องภาษีนำเข้าล่าสุด สงครามการค้า เงินเฟ้อ งบขาดดุลของรัฐ และราคาสินทรัพย์ที่ยังสูงพร้อมความผันผวนที่มากขึ้น” Jamie Dimon กล่าว
ในอดีต Jamie Dimon เคยเตือนว่า กำลังมี “พายุเฮอริเคน” ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2022 จากผลของการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด และสงครามยูเครน แต่เศรษฐกิจกลับยังเติบโตได้ดีด้วยแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐและภาคประชาชน
ช่วงที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนก็เคยสร้างความหวังให้ตลาดว่า รัฐบาลที่เน้นการเติบโตจะสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่ด้าน Jamie Dimon กลับมองว่า “ตอนนี้ตลาดอาจมองโลกสวยเกินไปและยังประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง”
ภายใต้การนำของ Jamie Dimon กว่า 20 ปี ทำให้ JPMorgan ได้กลายเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทั้งในแง่สินทรัพย์และมูลค่าตลาด โดยปีที่ผ่านมา ธนาคารก็ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นปีที่ 7
อย่างไรก็ตาม Dimon เน้นย้ำว่า ความสำเร็จของธนาคารขึ้นอยู่กับสุขภาพระยะยาวของประเทศสหรัฐฯ และอนาคตของโลกเสรีประชาธิปไตย พร้อมกลับระบุว่า “ทั้งสหรัฐฯ และโลกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ”
แม้ในจดหมายความยาว 59 หน้านี้จะไม่มีการเอ่ยชื่อของ “ทรัมป์” ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ Dimon ก็แสดงจุดยืนสนับสนุนประเด็นหลักที่ทรัมป์ให้ความสำคัญ เช่น การควบคุมผู้อพยพ แก้ไขการค้าไม่เป็นธรรมโดยเฉพาะกับจีน และลดกฎระเบียบ
แต่แทนที่จะเปลี่ยนทิศทาง จากระเบียบโลกที่อเมริกาเป็นผู้นำมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทาง Jamie Dimon ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบโลกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ไม่ใช่ล้มเลิกหรือถอนตัวจากระบบเดิม
“นั่นคือสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามของเราต้องการ การฉีกความร่วมมือทางทหารและเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ และพันธมิตรสร้างมานาน จะนำไปสู่โลกที่ไม่มีผู้นำร่วม ทุกประเทศจะเอาตัวรอดตามลำพัง ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามกำหนดกติกา และใช้อำนาจทางทหารและเศรษฐกิจเพื่อให้ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ” Jamie Dimon กล่าว
Dimon ยังเสนอแนวทางหลายด้านเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคนี้ ทั้งการฟื้นฟูความภาคภูมิใจในชาติ การยอมรับปัญหาอย่างตรงไปตรงมา เช่น นโยบายคนเข้าเมืองและการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการรักษากำลังทหารของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายแค่ไหนก็ตาม
“เศรษฐกิจคือกาวยึดสำคัญของโลกมายาวนาน และ America First นั้นดี ตราบใดที่มันไม่กลายเป็น America Alone (อเมริกาโดดเดี่ยว)” Jamie Dimon กล่าว
ที่มา: JPMorganChase, CNBC, Financial Times
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney