สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจในการลงนามสัญญาระยะยาว และการลงทุนเพื่อการส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานตลอดช่วงกลางศตวรรษนี้
โดยในปีนี้จีนกำลังจะกลายเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) รายใหญ่ที่สุดของโลก และถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ที่บริษัทจีนมีการทำสัญญาซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวในระยะยาวมากที่สุด โดยกว่า 33% ของปริมาณก๊าซ LNG เหล่าผู้ผลิตได้พุ่งเป้าหมายไปเซ็นสัญญาขายระยะยาวกับบริษัทจากประเทศจีน
เมื่อเดือนที่แล้วบริษัท China National Petroleum ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนได้ลงนามในสัญญาระยะยาว 27 ปีกับกาตาร์ และเข้าถือหุ้นในโครงการขยายธุรกิจขนาดใหญ่ ในขณะที่บริษัท ENN Energy Holdings ได้ลงนามในสัญญาระยะยาวหลายทศวรรษกับบริษัท Cheniere Energy เป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกก๊าซ LNG สำคัญจากสหรัฐฯ โดยทั้งสองบริษัทมีกำหนดการเริ่มจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลวอย่างเร็วที่สุดในปี 2569
ความพยายามในการทำสัญญาดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนโครงการส่งออกทั่วโลก เสริมความแข็งแกร่งให้กับบทบาทผู้นำการขนส่งสินค้าทางทะเล และเมื่อซัพพลายเออร์หันไปขายพลังงานให้จีน จะส่งผลให้อิทธิพลของจีนในตลาดพลังงานเพิ่มขึ้นตาม โดยยิ่งจีนลงนามในสัญญามากเท่าไร ก็ยิ่งมีอำนาจควบคุมการจัดหาก๊าซ LNG มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้จีนมีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลให้กับตลาด โดยเมื่ออุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ จีนจะทำการขายต่อสัญญาจัดซื้อพลังงาน ให้กับผู้ซื้อที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวจะขยายตัวเมื่อสัญญาใหม่เริ่มต้นขึ้น
อย่างไรก็ตามปัญหาไฟดับในภาคอุตสาหกรรม และการขาดแคลนพลังงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง ปัจจุบันจีนได้เปลี่ยนนโยบายจากการเป็นผู้นำด้านการนำเข้าพลังงาน มาให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงด้านพลังงานภายในประเทศแทน ซึ่งการมีอุปทานพลังงานที่เพียงพอในพอร์ตโฟลิโอ จะช่วยให้จีน สามารถจัดการกับความผันผวนด้านราคาพลังงานในอนาคตได้ พร้อมกับพยายามกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กันไป
อ้างอิง