โจทย์หินของสิงคโปร์ เมื่อนโยบาย “ภาษีคนรวย” เริ่มทำให้เศรษฐีในประเทศไม่พอใจ ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งที่เส้นตายจะมาถึงในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ ทำเอาพรรคจากฝั่งรัฐบาลนำโดย ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์คนปัจจุบันต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจจะกระทบกับการลงทุนภายในประเทศ และการไหลออกของเศรษฐี
ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน ปี 2023 ลอว์เรนซ์ หว่อง ซึ่งขณะนั้นถูกวางตัวให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้ส่งสัญญาณแรงถึงนักลงทุนระดับเศรษฐีที่หวังจะปักหลักในประเทศว่า “หากคุณอยากอยู่ที่นี่ กรุณาเคารพบรรทัดฐานและกฎของเรา หากคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เหมาะกับคุณ ก็ไม่เป็นไร เอาเงินของคุณไปที่อื่นได้เลย” โดยกล่าวไว้ในงานที่จัดโดยสถาบันของไมเคิล มิลเคน อดีตราชาแห่งตลาดตราสารหนี้
แม้จะเป็นคำพูดเรียบง่าย แต่สารที่ส่งไปยังเหล่ามหาเศรษฐีก็ชัดเจน สิงคโปร์ไม่ต้องการโชว์หรูโอ้อวดเกินงามจากเหล่าเศรษฐีที่เข้ามาลงหลักปักฐานในเมืองแห่งนี้ และยังสะท้อนถึงแนวทางของรัฐบาลสิงคโปร์ในการวางมาตรฐานใหม่สำหรับกลุ่มคนรวยที่ย้ายฐานมาอยู่ในประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้พฤติกรรมอวดรวยเกินพอดี สร้างช่องว่างในสังคม และทำลายภาพลักษณ์ของเมือง
และอีกปัจจัยหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นงานหินของรัฐบาลชุดนี้คือ แม้ว่าต้องการจะปิดช่องว่างคนรวย-คนจนลง แต่รัฐบาลยังคงต้องการให้เศรษฐีปักหลักอยู่ในสิงคโปร์ต่อ ไม่อยากให้เงินทุนไหลออกไปยังคู่แข่งอย่างฮ่องกงหรือดูไบ
ซึ่งมาตรการภาษีใหม่นี้สร้างแรงกระเพื่อมในหมู่ตระกูลมหาเศรษฐีท้องถิ่น บางรายมองว่าถูกเหมารวมกับชาวต่างชาติ ทั้งที่ตนเองมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าแค่เข้ามาใช้สิงคโปร์เป็นแหล่งพักทรัพย์ พร้อมกันนี้เศรษฐีบางกลุ่มก็มีการพูดถึงแผนย้ายทรัพย์สินไปยังประเทศอื่นที่สามารถหลบเลี่ยงภาษีได้ อย่างเช่น ดูไบหรืออาบูดาบี หากรัฐบาลยังเดินหน้าเพิ่มภาษีต่อไป
ในอีกด้าน เศรษฐีบางรายเริ่มเข้าหาคนใกล้ชิดรัฐบาลเพื่อหารือแนวทางนโยบายในอนาคต รวมถึงความชัดเจนว่าสิงคโปร์จะยังคงเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลกต่อไปหรือไม่
โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทำการเพิ่มอัตราภาษีรายได้สูงสุดเป็น 24% พร้อมกับเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์และรถหรูมากขึ้น อีกทั้งยังขึ้นอัตราอากรแสตมป์เป็น 60% สำหรับชาวต่างชาติที่ซื้อบ้าน ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านได้เสนอแนวทางจัดเก็บภาษีความมั่งคั่งสุทธิที่ 0.5%–2% กับทรัพย์สินของประชากรกลุ่มบน 1%
แม้ว่าสิงคโปร์จะเป็นกรณีศึกษาความสำเร็จทางเศรษฐกิจระดับโลกในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา แต่ข้อมูลจาก UBS ชี้ว่า ความมั่งคั่งเฉลี่ยของคนสิงคโปร์พุ่งขึ้น 116% ตั้งแต่วิกฤตปี 2008 แต่ Median Wealth ของประชากรกลับลดลง 2% สะท้อนว่าเงินส่วนใหญ่ไหลไปยังคนรวยสุดเพียงหยิบมือ
ขณะที่ทางรัฐบาล ระบุว่าแม้ข้อมูลด้านทรัพย์สินอาจชี้ถึงความเหลื่อมล้ำ แต่ในด้านรายได้ ความเท่าเทียมกลับดีขึ้น โดยอัตราความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ลดลงถึงจุดต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปีในปีที่ผ่านมา
ซึ่งปีที่แล้ว สิงคโปร์มีเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์ (Billionaire) มากถึง 47 ราย เพิ่มขึ้นจาก 34 รายในปี 2022 และยังมีการตั้งสำนักงานจัดการทรัพย์สินของตระกูลเศรษฐี หรือ Family Office กว่า 2,000 แห่ง และยังมีเศรษฐีกว่า 3,500 คนย้ายมาอาศัยอยู่ในประเทศในปีเดียว
แต่ในมุมของคนธรรมดา การครอบครองรถยนต์ เช่น Toyota Corolla ที่ราคาเฉียด 200,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (กว่า 5 ล้านบาท) หรือบ้านที่แม้จะเป็นที่อยู่อาศัยของรัฐแต่ก็ยังมีราคาทะลุล้านดอลลาร์ ทำให้ชีวิตคนทำงานทั่วไปยากลำบากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ฮายาติ อิบราฮิม แม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสองผู้อาศัยอยู่ในสิงคโปร์ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า เธอมีเงินเดือนราว 3,100 ดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งนั่น “แทบไม่พอใช้” และยังไม่มีการขึ้นเงินเดือนเลยนับแต่ปี 2022 ในขณะที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคก็พุ่งสูงขึ้นจนเงิน 50 ดอลลาร์สิงคโปร์ไม่เพียงพอเหมือนแต่ก่อน
ด้านโฆษกรัฐบาลสิงคโปร์ ก็ได้ออกมาย้ำว่าระบบภาษีของประเทศมีความก้าวหน้าอย่างมาก (Highly Progressive) และช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริง พร้อมระบุว่า มีมาตรการช่วยลดราคาที่อยู่อาศัย และสนับสนุนคนรายได้น้อย อย่างเช่น เงินคืน คูปองซูเปอร์มาร์เก็ต และส่วนลดค่าสาธารณูปโภค
และจากความกังวลและผลกระทบที่จะเกิดต่อคนรวยจากมาตรการขึ้นภาษีคนรวยของสิงคโปร์นี้ ส่งผลให้มาเลเซียและอินโดนีเซียประเทศเพื่อนบ้าน ต่างประกาศแผนดึงดูดนักลงทุนมหาเศรษฐีผ่านการตั้ง Family Office ขณะที่ผู้บริหารจาก Family Office ในประเทศ 2 ราย ออกมายอมรับว่าลูกค้าของตนไม่ปลื้มกับภาษีใหม่ในสิงคโปร์ แม้ยังไม่มีแผนย้ายทรัพย์สินออกจากประเทศก็ตาม
ที่มา: Bloomberg
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney