“เวียดนาม-อินโดนีเซีย” ดูดเม็ดเงิน FDI ต่างชาติ สูงสุดในอาเซียน ส่วน ไทย-มาเลเซีย กอดคอกันร่วง

Economics

ASEAN Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“เวียดนาม-อินโดนีเซีย” ดูดเม็ดเงิน FDI ต่างชาติ สูงสุดในอาเซียน ส่วน ไทย-มาเลเซีย กอดคอกันร่วง

Date Time: 16 ก.พ. 2567 12:03 น.

Video

เรื่องจริงของ “มนุษย์เงินเดือน” ไม่มีเงินเก็บ สู่กูรูการออม “โอมศิริ วีระกุล” l Money Secret EP.3

Summary

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย อินโดนีเซียและเวียดนาม ดึงดูด FDI ได้มากที่สุดในอาเซียน นับตั้งแต่เกิดสงครามการค้า ขณะไทย FDI ไทยหดตัว กว่า 20% เช่นเดียวกับ มาเลเซีย ลดลง 15.3% แนะรัฐบาลเร่งออกมาตรการดึงดูดการลงทุนของต่างชาติ หนุนศักยภาพ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นับตั้งแต่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเกิดขึ้น ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ได้ผลักดันให้ “ภูมิภาคอาเซียน” กลายเป็นดาวเด่น ในการดึงดูดเม็ดเงินของทุนต่างชาติ อย่างน่าสนใจ อันเนื่องมาจาก กลุ่มทุน ต้องการกระจายการลงทุนออกจากจีน เพื่อปิดช่องการถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ

ขณะจีนเอง เมื่อปีที่แล้ว FDI ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการปิดโรงงานของบรรษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปในจีนกว่า 10,900 บริษัทที่ปิดตัวลงไป สวนทางการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของทั่วโลก เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย 3% (จากฐานที่ต่ำ)

เจาะภูมิภาคอาเซียน แม้ช่วงปี 2566 มูลค่า FDI โดยรวมลดลง อันเป็นผลพวงจากเศรษฐกิจโลก ชะลอตัว และการขึ้นดอกเบี้ยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนออกไปก่อน แต่สำหรับ ดาวเด่น อย่าง อินโดนีเซียและเวียดนาม ยังคงเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์สูงสุด จากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งของจีน-สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง 

ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า มูลค่า FDI ไหลเข้าสุทธิสะสมในช่วงปี 2561 จนถึง ม.ค.-ก.ย. 2566 ของอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 21.4% ขณะ เวียดนาม เพิ่มขึ้น 44.1% เมื่อเทียบกับช่วงปี 2555-2560 แต่ในทางตรงกันข้ามกัน มูลค่า FDI ไหลเข้าสุทธิสะสมของไทย กลับลดลง 20.3% เช่นเดียวกับมาเลเซีย ที่ลดลง 15.3% เช่นกัน 

สำหรับประเทศไทย การลดลงของมูลค่า FDI ไหลเข้าสุทธิในปี 2566 กระจุกตัว ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากการปิดกิจการของธุรกิจต่างชาติ เช่น การขายกิจการของปั๊ม ESSO รวมทั้งการปิดโรงงานของบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะ อย่างยิ่งอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์จากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีเข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า

แยกแยะ รายละเอียด ได้ดังนี้ (ข้อมูล ม.ค.-ก.ย. 2566) จากมูลค่า FDI ไหลเข้าสุทธิของไทย รวม 4,438 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงจากปี 2565 ที่มีเม็ดเงินเข้ามา 9,011 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็น 

  • ธุรกิจนอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรม 3,934 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้น)
  • อุตสาหกรรมอื่นๆ 993 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง)
  • อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรนิกส์ 1,465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง)
  • อุตสาหกรรมปิโตรเคมี -1,372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง)
  • อุตสาหกรรมยานยนต์ -522 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง)

อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่า หากมองเฉพาะในด้านมูลค่าเม็ดเงิน FDI ไหลเข้าในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 

ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการดึงดูดเม็ดเงิน FDI โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเห็นได้จากมูลค่า FDI ที่ขอรับการส่งเสริมการ ลงทุนจาก BOI ที่เพิ่มขึ้น 72% มาอยู่ที่ระดับ 6.6 แสนล้านบาท ในปี 2566 

โดย มีการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3.4 แสนล้านบาท (+265%) และอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ 8.4 หมื่นล้านบาท (-22%) 

ขณะ เวียดนามและอินโดนีเซียยังคงเป็นแหล่งดึงดูดเม็ดเงิน FDI ในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญของอาเซียน จึงเสนอให้ไทยควรเร่งออกนโยบายที่เอื้อแก่การลงทุนมากขึ้น เช่น การลดขั้นตอนและความซ้ำซ้อนของเอกสารในการขอใบอนุญาตต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขั้นตอนในการส่งออกนำเข้าสินค้า รวมทั้ง การเร่งความคืบหน้าการเจรจาความตกลงทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ EU


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ