2026 ปีแห่ง Offline Era แบรนด์-สื่อจะสร้างคุณค่าอย่างไร เมื่อคนเริ่มเลือก “ชีวิตนอกจอ”

Business & Marketing

Marketing & Trends

พิมพ์ชญา ภมรพล

พิมพ์ชญา ภมรพล

Tag

2026 ปีแห่ง Offline Era แบรนด์-สื่อจะสร้างคุณค่าอย่างไร เมื่อคนเริ่มเลือก “ชีวิตนอกจอ”

Date Time: 24 ธ.ค. 2568 16:51 น.

Video

อธิบายทีเดียวว่า ทำไมฟองสบู่ AI จะไม่แตกซ้ำรอยดอทคอม? | Digital Frontiers EP.51

Summary

ผู้คนใช้เวลาบนโซเชียลมีเดียน้อยลง 10% จากจุดสูงสุดในปี 2022 โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น

  • แนวโน้ม 'Offline Renaissance' สะท้อนความต้องการสมดุลระหว่างชีวิตดิจิทัลและชีวิตจริง
  • AI ทำให้เกิดคอนเทนต์จำนวนมาก แต่ผู้บริโภคเริ่มมองหาประสบการณ์ที่พิสูจน์ได้จริง
  • การตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing) ในโลกออฟไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้น
  • แบรนด์ต้องปรับตัวโดยให้คุณค่า สร้างความเข้าใจ และเคารพเวลาของผู้ชม

Latest


กว่า 10 ปีที่ผ่านมา โลกดิจิทัลได้กลายเป็นแกนกลางของชีวิตประจำวัน โซเชียลมีเดียทำหน้าที่เสมือน “พื้นที่สาธารณะใหม่” ขณะที่การมีตัวตนแบบออนไลน์ กลายเป็นสภาพปกติของการอยู่ในสังคมแทบทุกระดับ อย่างไรก็ตาม พื้นที่สาธารณะรูปแบบใหม่นี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ พื้นที่ที่เคยเป็นของ “ผู้ใช้” เริ่มถูกครอบครองโดยอัลกอริทึมที่กำหนดว่าใครควรเห็นอะไร คอนเทนต์เชิงพาณิชย์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อขาย และล่าสุดคือการมาถึงของ Generative AI ที่สามารถผลิตข้อความ ภาพ และวิดีโอได้ไม่รู้จบ

ผลลัพธ์คือ พื้นที่ออนไลน์ที่เคยเปิดกว้าง กลับให้ความรู้สึกอึดอัด ควบคุมไม่ได้ และเต็มไปด้วยการแข่งขันแย่งชิงความสนใจ ผู้ใช้จำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าตนเองถูก “ดึง” อยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน การแย่งพื้นที่ความสนใจนี้เองกลับค่อย ๆ ผลักผู้ใช้บางกลุ่ม โดยเฉพาะคนที่มองหาความหมายหรือความสัมพันธ์ที่แท้จริงออกจากพื้นที่นั้นอย่างไม่รู้ตัว

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ โลกอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียจึงเริ่มถูกตั้งคำถามใหม่ ทั้งในเชิงโครงสร้างแพลตฟอร์มและพฤติกรรมผู้บริโภค และนำไปสู่กระแสที่ดูเหมือนตรงกันข้าม นั่นคือ การหันกลับไปให้คุณค่ากับ “พื้นที่จริง” หรือประสบการณ์ที่ไม่ถูกกลั่นผ่านหน้าจอ

โลกดิจิทัลยังโต… แต่ไม่เหมือนเดิม

นักวิชาการด้านวัฒนธรรมและคนในอุตสาหกรรมบางส่วนเริ่มเสนอว่า ปี 2026 อาจเป็นจุดเริ่มของ “Offline Renaissance” หรือแนวคิดการ “กลับไปออฟไลน์” ที่ไม่ได้หมายถึงการเลิกใช้อินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียโดยสิ้นเชิง แต่สะท้อนภาวะดิจิทัลล้น (Digital Saturation) หรือความอิ่มตัวของโลกออนไลน์ และความต้องการสมดุลใหม่ระหว่างชีวิตดิจิทัลกับชีวิตจริง

เราจึงเริ่มได้ยินความเห็นในทำนองว่า “ผู้คนใช้เวลาบนฟีดน้อยลง” “คลับและกิจกรรมออฟไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้น” ไปจนถึง “คนเลิกพึ่ง Dating App แล้วหันมาพบปะกันจริง”

ในเชิงตัวเลขโลกไม่ได้เลิกใช้อินเทอร์เน็ต จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทะลุระดับกว่า 70% ของประชากรโลก ข้อมูลจาก Datareportal ชี้ว่าภายในปลายปี 2025 จะมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกมากกว่า 6 พันล้านคน โดยมีประชากรราว 2.2 พันล้านคนที่ยังออฟไลน์ ขณะที่หลายประเทศยังมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นแบบปีต่อปี อย่างไรก็ตามสิ่งที่เปลี่ยนไป คือ “คุณภาพของการมีส่วนร่วม”

สัญญาณสำคัญ คือ พฤติกรรมบนโซเชียลมีเดียเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลล่าสุดจาก Global Web Index ระบุว่า ปัจจุบันเวลาในการใช้งานโซเชียลมีเดียเฉลี่ยยังอยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาทีต่อวัน แต่ลดลงแล้ว 10% จากจุดพีคในปี 2022 โดยการลดลงที่ชัดเจนที่สุดเกิดกับกลุ่มผู้ใช้หนักอายุ 16-24 ปี

ทำไม “Offline” ถึงถูกพูดถึงมากในช่วงนี้

แม้โลกดิจิทัลจะยังขยายตัว แต่แรงกดดันทางสังคมและวัฒนธรรมกำลังเปลี่ยนทิศ 

  • Digital Burnout และสุขภาวะทางใจ

ผู้คนตระหนักถึงความเหนื่อยล้าจากหน้าจอมากขึ้น กระแส Digital Detox หรือการตั้งใจลดการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z และ Gen Alpha เริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากขึ้น การออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง เล่นกีฬา เดินป่า หรือทำกิจกรรมที่ไม่ต้องพึ่งหน้าจอถูกมองว่าเป็นวิธีดูแลใจที่ได้ผลจริง ผลลัพธ์ คือ การลดการใช้โซเชียลมีเดียแบบไม่รู้ตัว (Doom-Scrolling)

เราจึงเริ่มเห็นเทรนด์หลบหนีจากความวุ่นวาย (Escapism) ในหมู่คนหนุ่มสาวที่เริ่มใช้โซเชียลมีเดียน้อยลง มีการตั้งขอบเขตกับหน้าจออย่างตั้งใจ มีระบบการมีส่วนร่วมที่ต่ำลง และมองแพลตฟอร์มเป็นเพียงที่ฆ่าเวลา มากกว่าพื้นที่สร้างความสัมพันธ์เหมือนเดิม

  • ออฟไลน์ไม่ตาย แต่กำลัง “วิวัฒน์”

นักการตลาดจำนวนมากมองว่า ปี 2026 จะเป็นช่วงที่การตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing) ในโลกออฟไลน์กลายเป็นเครื่องมือสร้างชุมชนและความผูกพันที่ดิจิทัลทำไม่ได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของอัลกอริทึมและยอด Engagement ที่ลดลงทำให้สายคอนเทนต์เลิกผลิตคอนเทนต์คุณภาพต่ำ (Unshittification) จำนวนมากและหันมาให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่มีเป้าหมายเฉพาะกลุ่มมากขึ้น

กระแสแอนาล็อก เช่น บอร์ดเกม แผ่นเสียง นิตยสารเล่ม งานคราฟต์ รวมถึงกิจกรรมที่ต้องใช้เวลาและความตั้งใจกำลังกลับมาได้รับความนิยม สะท้อนจากเทรนด์กิจกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น การค้นหาทริปธรรมชาติ การออกกำลังและรีทรีตเชิงประสบการณ์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คำค้นหาถึงบอร์ดเกม ของเล่น การทำงานประดิษฐ์ วัฒนธรรมอ่านหนังสือ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

  • AI ทำให้คอนเทนต์ไร้ขีดจำกัด

ปัจจัยที่มีผลอย่างมีนัยสำคัญ คือ การมาของ AI ในวันที่ AI สามารถผลิตข้อความ ภาพ วิดีโอ ได้ในต้นทุนที่แทบไม่ต้องออกแรงอะไรเหมือนเดิม โซเชียลมีเดียที่เคยเป็นพื้นที่ของคนจริง เสียงจริง ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยคอนเทนต์ที่ดูดีแต่ไร้ตัวตน ความไวรัลที่มาไวและหายไปเร็ว คนเริ่มไม่เชื่อสิ่งที่เห็นบนจอโดยอัตโนมัติและหันกลับไปให้คุณค่ากับประสบการณ์ที่พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

โดยเฉพาะในฝั่งแบรนด์และธุรกิจ ความย้อนแย้งกำลังชัดเจนขึ้น ขณะที่องค์กรเร่งใช้ AI ผลิตคอนเทนต์จำนวนมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือ การต่อต้านจากผู้บริโภค คอนเทนต์ที่ดูดีเกินไปโดยการสร้างสรรค์ของ AI กำลังทำลายความเชื่อใจมากกว่าสร้างคุณค่า ในโลกที่ทุกคนสามารถผลิตได้เหมือนกัน ความเป็นมนุษย์กลายเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขัน

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในปี 2026

สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปีหน้าที่เราจะเห็น คือ โลกออฟไลน์กำลังถูกให้คุณค่าใหม่ และถูกจัดเป็นความหรูหราใหม่ที่ผู้คนไขว่คว้าให้กับชีวิต ผู้คนจะกลับไปเลือก “ชีวิตออฟไลน์” อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น แนวโน้มนี้เกิดขึ้นแล้วใน Gen Z และกำลังไหลไปยังเจเนอเรชันอื่นอย่างช้าๆ แต่ชัดเจน

สำหรับแบรนด์ “Offline Era” คือ สัญญาณเตือนสำคัญ แบรนด์ที่ยัดเยียด ขายตรง หรือไล่ตามอัลกอริทึมจะถูกกรองออกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แบรนด์ที่ให้คุณค่า สร้างความเข้าใจ และเคารพเวลาของผู้ชมจะถูกจดจำระยะยาว
ดังนั้นการยิงแอดถี่ ส่งข้อความไม่หยุด ผลิตคอนเทนต์จำนวนมากโดยไม่คิดถึงคุณค่ากำลังเข้าใกล้จุดอิ่มตัวและไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป เพราะผู้บริโภคต้องการพื้นที่ให้หายใจและน้ำเสียงที่เป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่คอนเทนต์จำนวนมากที่ไล่ล่าพวกเขา

แบรนด์และสื่อต้องกล้าตัดทอน ทำให้น้อยลง แต่มีความหมายมากขึ้น สร้างเนื้อหาที่คุ้มค่าที่จะหยุดอ่าน หยุดดู หยุดฟัง ในยุคข้อมูลล้นสื่อที่มีคุณค่าอาจไม่ใช่สื่อที่เร็วที่สุด แต่ต้องเลือกประเด็นเป็น อธิบายให้เข้าใจ และเชื่อมโยงภาพใหญ่ได้

และสิ่งที่ชัดเจนที่สุด คือ ปี 2026 กิจกรรมออฟไลน์ อีเวนต์ คอมมูนิตี้ หรือประสบการณ์จริง จะไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริมการตลาด แต่กำลังกลายเป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์ที่แข็งแรงที่สุด ช่วยแบรนด์สร้างประสบการณ์จริง ความสัมพันธ์จริง และความเชื่อใจระยะยาว

สรุปแล้วนั้น “การกลับไปออฟไลน์” ไม่ได้หมายความว่าผู้คนจะเลิกใช้อินเทอร์เน็ต หรือบอกว่านี่คือ จุดล่มสลายของโซเชียลมีเดีย บทความนี้สะท้อนภาพการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมบนโลกอินเทอร์เน็ตที่ผู้คนกำลังถอยการเชื่อมต่อดิจิทัลตลอด 24 ชั่วโมงและหันกลับมาให้คุณค่ากับสิ่งที่สัมผัสได้จริงและมีความหมายมากกว่าเดิม


ที่มาข้อมูล Financial Times   

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

พิมพ์ชญา ภมรพล

พิมพ์ชญา ภมรพล
from digital economies to the art of brand identity