
หากเอ่ยถึงเพลงฮิตติดหูอย่าง “ก่อนตาย”, “เล่นของสูง”, “ยาม” หรือ “เชือกวิเศษ” เชื่อว่าทำนองและเนื้อร้องเหล่านี้คงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนจนสามารถร้องตามได้อย่างขึ้นใจ แต่เบื้องหลังความสำเร็จของบทเพลงระดับตำนานเหล่านี้ สิ่งที่เป็นกลไกสำคัญคือประสบการณ์ที่โชกโชนของสมาชิกวงร็อกระดับแนวหน้าของเมืองไทย
ซึ่งคงไม่มีใครไม่รู้จัก “พงษ์พันธ์ พลสิทธิ์” หรือ โอ๊ค Big Ass มือเบสมากฝีมือผู้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์เพลงร็อกอมตะ และ “ณัฐนนท์ ศรีศรานนท์” หรือ สมเมย์ Labanoon มือกลองจังหวะจัดจ้าน ที่ต่างก็เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงให้ประสบความสำเร็จผ่านบทเพลงฮิตมากมาย
วันนี้ทั้งสองไม่ได้จำกัดบทบาทอยู่แค่บนเวทีคอนเสิร์ตอีกต่อไป แต่ได้ก้าวเข้ามาขับเคลื่อนวงการเพลงในฐานะผู้บริหาร ที่มีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ มาจากการปรารถนาจะจัดคอนเสิร์ตเพื่อรื้อฟื้นบรรยากาศดนตรีร็อก และเมทัลยุค 2000 ได้นำไปสู่การก่อตั้ง “VOM RECORDS” (วอม เรคคอร์ด) ค่ายเพลงที่ไม่ได้มุ่งหวังธุรกิจตั้งแต่ต้น แต่ขับเคลื่อนด้วย “Passion” และความสุขในการทำสิ่งที่รัก จนกลายมาเป็นค่ายเพลงที่น่าจับตามองที่สุดในพุทธศักราชนี้
และนี่คือเส้นทางที่น่าสนใจของ “สมเมย์ Labanoon” และ “โอ๊ค Big Ass” สองนักดนตรีผู้เปลี่ยนจากศิลปินบนเวที มาสู่ผู้บริหาร!
แน่นอนว่าการเปลี่ยนบทบาทจากคนเบื้องหน้ามาอยู่เบื้องหลังไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งคู่ยอมรับว่าต้องเริ่มต้นจากศูนย์ในแง่ของธุรกิจ แต่สิ่งที่พวกเขามีเหนือใครคือ "ความเข้าใจในหัวอกคนดนตรี"
“ข้อดีคือเรารู้ใจคนดนตรีด้วยกันว่าต้องการอะไรเพื่อให้โชว์ออกมาสมบูรณ์ที่สุด แต่ข้อเสียคือเราสปอยศิลปินหนักมาก เพราะเราอยากให้ทุกคนที่มาเล่นงานเราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อส่งต่อพลังนั้นไปยังคนดู” สมเมย์ ณัฐนนท์ กล่าวถึงความท้าทาย
เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน ทั้งสองจึงต้องเรียนรู้เรื่องการตลาด การประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการศิลปิน โดยวางโครงสร้างให้ Vom Records เป็น Ecosystem ที่ครบวงจร ตั้งแต่การเป็นค่ายเพลงที่มีศิลปินในสังกัด 9 วง ไปจนถึงการเป็น Production House และโปรโมเตอร์จัดคอนเสิร์ต
โดยเน้นการลงทุนกับอุปกรณ์และสตูดิโอของตัวเองเพื่อควบคุมต้นทุน และนำงบประมาณไปทุ่มเทกับภาพลักษณ์ (Branding) และคุณภาพของมิวสิกวิดีโอแทน และเมื่อนั้นคนจะนึกถึง Vom Records เมื่อต้องการฟังเพลงร็อก/เมทัล และนึกถึง Rock Alarm เมื่อต้องการดูงาน Rock Festival ระดับอินเตอร์
ทั้งนี้เมื่อกล่าวถึง Rock Alarm เส้นทางสายใหม่นี้เริ่มต้นขึ้นจากจุดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "Passion" และความปรารถนาที่จะรื้อฟื้นบรรยากาศดนตรีร็อกและเมทัลยุค 2000 ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ณัฐนนท์ ศรีศรานนท์ (สมเมย์) มือกลอง Labanoon / Co-Founder Vom Records, Rock Alarm, Vorm Team เล่าย้อนกลับไปในปี 2018 ถึงที่มาของโปรเจกต์ “Rock Alarm” ว่าเกิดจากความโหยหาในยุคที่ดนตรีสายเดือดเฟื่องฟูสุดขีด เขาเพียงอยากปลุกพลังเหล่านั้นให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จนไม่น่าเชื่อว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ Rock Alarm ได้เดินทางมาถึงครั้งที่ 7 และกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของชาวร็อกไปแล้ว
ขณะที่ พงษ์พันธ์ พลสิทธิ์ (โอ๊ค) มือเบสวง Big Ass / Co-Founder Vom Records, Rock Alarm, Vorm Team เสริมว่า Rock Alarm ไม่ใช่แค่คอนเสิร์ตทั่วไป แต่คือคอมมูนิตี้เฉพาะกลุ่มที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะแฟนเพลงกลุ่มนี้มี “ใจ” และมีกำลังสนับสนุนที่พร้อมจะจ่าย เพื่อให้ได้เห็นสิ่งที่หาดูยากหรือโชว์ที่หาดูไม่ได้จากที่ไหน นั่นทำให้เราไม่ต้องไปแข่งกับใคร แต่เราแข่งกับตัวเองในการสร้างสรรค์งานที่ “โดนใจ”ผู้ฟังมากที่สุด
ในปีนี้ Rock Alarm ขยายสเกลงานให้ยิ่งใหญ่ขึ้นด้วย 4 เวที และทัพศิลปินกว่า 36 วง ในราคาบัตรที่จับต้องได้และสมเหตุสมผลตามยุคสมัย และที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือเราเริ่มเห็นกลุ่มคนฟังที่เด็กลงเรื่อยๆ จากเดิมที่ฐานแฟนคลับเป็นรุ่นใหญ่ (20-50 ปี) ตอนนี้กลุ่มวัยรุ่นอายุ 18 ปีก็เริ่มเข้ามาร่วมสนุกมากขึ้น คาดว่าปีนี้พื้นที่ของงานจะคึกคักไปด้วยผู้คนกว่า 10,000 คน
สมเมย์ ณัฐนนท์ กล่าวต่อไปว่า พฤติกรรมคนฟังรุ่นใหม่เปลี่ยนไปมาก พวกเขาไม่ได้แค่มาดูคอนเสิร์ต แต่เขาเลือกงานที่ไปแล้วรู้สึกว่า “ตัวเองมีตัวตน” งานที่สะท้อนรสนิยมและให้ความคุ้มค่ากับเงินทุกบาทที่เสียไป ถ้าเราทำให้เขารู้สึกได้ว่า “นี่คือที่ของเขา” งานก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เพราะคนรักดนตรีร็อกในเมืองไทยนั้นมีอยู่มหาศาล และพวกเขาพร้อมจะออกมาปลดปล่อยพลังเสมอ
“สำหรับเป้าหมายสูงสุด คือการทำให้ Rock Alarm เป็น Rock Festival ระดับอินเตอร์ที่ไม่แพ้ชาติใดในอาเซียน" เพื่อให้คนไทยไม่ต้องเดินทางไปดูเทศกาลดนตรีร็อกต่างประเทศอีกต่อไป และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรอบด้วย” สมเมย์ ณัฐนนท์ กล่าว
เมื่อถามถึงความมั่นคงของอาชีพนักดนตรีในปัจจุบัน พวกเขาเห็นว่ากระแสดนตรีและเงินเฟ้อทำให้ต้องมีการวางแผนทางการเงินที่ดี โดย สมเมย์ ณัฐนนท์ มองว่า จะไม่โฟกัสแค่ดนตรีอย่างเดียว แต่จะนำเงินที่ได้ไปต่อยอดในการลงทุนทำธุรกิจอื่น ๆ ด้วย เช่น เป็น Developer อสังหาริมทรัพย์ (สร้างบ้านขาย), ทำค่ายเพลง และทำสตูดิโอ เพื่อให้มีรายได้หลายทาง
สำหรับ โอ๊ค พงษ์พันธ์ แบ่งการลงทุน 2 ส่วน คือ 1. ลงทุนทรัพย์สิน เช่น Bitcoin และทองคำ และ 2. ลงทุนความรู้ โดยพยายามไปเรียนเสริมเรื่องซาวด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อนำมาเสริมการทำงาน และนำเงินส่วนหนึ่งไปทำในสิ่งที่ชอบ เช่น เปิด Studio สำหรับซ้อมดนตรี พร้อมกับแบ่งสัดส่วนรายได้มาออมไว้อย่างน้อย 10-30%
ทั้ง โอ๊ค Big Ass และ สมเมย์ Labanoon สะท้อนให้เห็นว่า เบื้องหลังเสียงดนตรีและแสงไฟบนเวที ความสุขที่แท้จริงของนักดนตรีสายร็อกคือการได้เชื่อมต่อความรู้สึกกับผู้ชม การได้เห็นรอยยิ้มและพลังจากคนที่ตั้งใจมาดูคือรางวัลที่มีค่ามากกว่าตัวเงิน สิ่งสำคัญคือการได้ทำในสิ่งที่รักควบคู่ไปกับการเห็นคนรอบข้างและทีมงานมีความสุข โดยมีความสำเร็จสูงสุดคือการสามารถดูแลครอบครัวได้จากการเดินบนเส้นทางสายนี้
ในแง่ของการประคองชีวิตให้มั่นคง การบริหาร “อารมณ์” และ “การเงิน” เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน เนื่องด้วยนักดนตรีมักใช้ความรู้สึกนำทางในการตัดสินใจ การมีคู่คิดหรือครอบครัวที่ช่วยดึงสติให้อยู่ในร่องในรอย จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตสมดุล ขณะเดียวกันวินัยทางการเงินก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ การรู้จักแบ่งสัดส่วนรายได้มาออมไว้อย่างน้อย 10-30% ไม่ใช่แค่เพื่อการเกษียณในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นทุนสำรองสำหรับการหาความรู้และต่อยอดงานสร้างสรรค์ เพื่อให้จิตวิญญาณร็อกสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกแห่งความเป็นจริง
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney