
ย้อนไป ซีรีส์ไทย เรื่อง “สาธุ (The Believers)” ภาคแรก เคยได้ตีแผ่เรื่องราวของโมเดลการหาเงินจากวัด โดยกลุ่มวัยรุ่น ชาย-หญิง 3 คน ซึ่งประกอบไปด้วย วิน (เจมส์ ธีรดนย์) ,เกม (พีช พชร) และ เดียร์ (แอลลี่ อชิรญา) ที่เปลี่ยนวัดร้าง ให้กลายเป็นธุรกิจศาสนา ผ่านการใช้การตลาดดิจิทัลและวาทกรรมเรื่องบุญมาเป็นเครื่องมือหาเงิน
สะท้อนภาพจริงของสังคมไทยได้อย่างชัดเจน พร้อมกับทิ้งข้อสงสัยใหญ่ไว้ว่า แรงศรัทธาของเรา สามารถนำไปให้กลุ่มคนบางกลุ่ม แปรรูปเป็นเครื่องมือสร้างเงินและผลประโยชน์ได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?
ล่าสุด การกลับมาของ “สาธุ ๒ “ ซึ่งจะได้รับชมทาง Netflix ช่วงวันที่ 4 ธ.ค. นี้ มาพร้อมกับ "พุทธพาณิชย์" ที่ซับซ้อนขึ้นจากเดิม ผ่านมุมมองของกลุ่มที่เรียกว่า “สตาร์ทอัพ” ได้เต็มตัว โดยใช้ความเชื่อเป็นช่องทางหาเงิน เพื่อปลดหนี้ อีกครั้ง
ความน่าสนใจของ สาธุ 2 ยังมาจากโมเดลการหาเงินของวัดที่เข้มข้นขึ้น และถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น สู่ "เครือข่ายอิทธิพลและการเมืองท้องถิ่น" จนอาจเรียกได้ว่า จากเกม "การโกง" ไปสู่การสร้าง "ระบบผูกขาด" (Monopoly) ที่ใช้ความมั่นคงทางการเมือง ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น แบบสังคมไทยคุ้นชิน มาเป็นตัวเดินเรื่องที่ใหญ่กว่าเดิม
รวมไปถึง การเสียดสีนโยบายการเมือง ผ่าน นโยบุญจากพรรคธรรมพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น โครงการใส่บาตรดิจิทัล , คนละครึ่งพระ ช่วยค่าบวช 50% ,ทำบุญวัดรองลดหย่อนภาษี 2 เท่า และ ใบโพธิ์อัปเลเวลบุญ ตามเงินบริจาค เพื่อนำไปสู่ การระดมเงิน สร้างโรงพยาบาลวัดหนองขาล
บทวิเคราะห์นี้ อยากชวนสำรวจเรื่องราว ว่าทำไมระบบความศรัทธา ที่ได้รับการคุ้มครองโดยอำนาจท้องถิ่น ถึงน่ากลัวและเป็นโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง กว่าการหลอกลวงแบบฉาบฉวยทั่วๆไป
จะพบว่าในเชิงการเงิน ธุรกิจของวินและเพื่อนในภาคแรก คือ "High-Risk, High-Reward" หลังจากพวกเขาต้องลงทุน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ, เผชิญความเสี่ยงทางกฎหมาย, และแข่งขันกับพระที่ "ของจริง" กว่า
แต่ สาธุ 2 จากตัวอย่างซีรีส์ จะพบว่ามีตัวละครใหญ่อย่าง ผู้สมัคร สส. เอ๋ - ชไมพร (โดนัท มนัสนันท์) พรรคธรรมพัฒนา เป็นตัวแทนของอำนาจการเมืองท้องถิ่น เข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขากำลังซื้อสิ่งที่เรียกว่า "Regulatory Capture" หรือ "การควบคุมกฎระเบียบ" ซึ่งเป็นศัพท์ในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง
โดยการเมืองท้องถิ่น ต้องการควบคุม "กระแสเงินสด" ที่ไหลเข้าวัดอย่างต่อเนื่อง การอุปถัมภ์จากนักการเมืองท้องถิ่น จึงเท่ากับ การจ่ายเงินเพื่อซื้อ "ใบอนุญาตประกอบธุรกิจทางศรัทธา" ที่ปลอดจากคู่แข่ง และมีภูมิต้านทานต่อการตรวจสอบจากภายนอก และเผลอๆ ตัวนักการเมือง เป็นตัวตั้งตัวตีในการดำเนินการเสียเองผ่าน “นอมินี”
ในโมเดลธุรกิจรูปแบบดังกล่าว คล้ายกับการลงทุนเพื่อให้ธุรกิจผิดกฎหมายของพวกเขากลายเป็น "ระบบ" ที่ถูกกฎหมายและมีความมั่นคงทางการเมืองค้ำยัน ขณะเดียวกัน ก็สร้างทางเข้า โดยใช้แบ็กอัพทางการเมือง ทำให้คู่แข่งรายใหม่เข้าสู่ตลาดนี้ได้ยากขึ้นอย่างมาก วัดที่ผูกพันกับระบบอุปถัมภ์จะกลายเป็นผู้ผูกขาดความศรัทธาในพื้นที่นั้นโดยปริยาย
ผู้กำกับ “วรรธนพงศ์ วงศ์วรรณ” กล่าวถึงซีซั่น 2 ว่าเป็นเรื่องราวของ คนที่คิดว่าเล่นระบบได้ แต่จริง ๆ แล้วระบบเล่นคน เสียเอง นี่คืออีกข้อสะท้อนถึงกฎที่สำคัญของเศรษฐศาสตร์การเมือง เมื่อโมเดลธุรกิจเปลี่ยนจากความฉลาดรายบุคคลไปสู่โครงสร้างอำนาจที่แข็งแกร่งขึ้น
หากในซีซั่น 1 โมเดลธุรกิจนั้นขับเคลื่อนด้วย สมการความน่าจะเป็นและกลยุทธ์หลักของวิน ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและประสิทธิภาพของกลโกงรายบุคคล ที่มีโอกาส “พลาด” ได้ แต่ในซีซั่น 2 ตัวขับเคลื่อนหลักที่เป็นพรรคการเมือง ที่มีเครือข่ายกว้างขวางแล้วนั้น
ทำให้ความเสี่ยงของธุรกิจ ต่ำลงอย่างมาก เพราะได้รับการรับรองจากอำนาจท้องถิ่นและกฎหมายที่ถูกบิดเบือน กล่าวคือ โมเดลธุรกิจของวินและเพื่อนในภาคนี้จึงไม่ได้พึ่งพาแค่ความสามารถส่วนตัวอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับความเหนียวแน่นของ "โครงสร้างอำนาจทั้งหมด" ซึ่งมีความมั่นคงในตัวเองสูง แม้ตัวบุคคลจะล้ม (เช่น การสึกของพระดล) ระบบ ก็สามารถหาคนใหม่มาแทนที่ได้เสมอ ตราบใดที่ผลประโยชน์ยังหมุนเวียนและโครงสร้างอำนาจยังคงอยู่
ใน “สาธุ 2” อีกตัวละครสำคัญที่เกิดจุดพลิกผันเมื่อภาคแรก อย่าง พระดล (ปั๊บ โปเตโต้) ได้กลับมาอีกครั้ง ในบทบาทที่ "สึกออกมา" เพื่อค้นหาตัวเอง เป็นการตอกย้ำถึงราคาที่ต้องจ่ายเมื่อบุคคลตัดสินใจออกจากระบบที่ถูกยึดกุมอำนาจไว้แล้ว
การสึกของพระดล ต้องเผชิญกับ การสูญเสียทุนทางศรัทธา ซึ่งเคยเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงสุดในระบบพุทธพาณิชย์ "ความน่าเชื่อถือทางจิตวิญญาณ" และสถานะทางสังคมที่ได้มา หาไปกับผ้าเหลืองที่เคยห่อหุ้ม ทำให้ “พระดล” ปรากฎตัวด้วยต้นทุนที่เท่ากับศูนย์ ซึ่งตรงข้ามกับการอยู่ในระบบที่ได้รับการยอมรับ และมีอำนาจสูง
คำถามสำคัญที่ชวนให้เราติดตามใน สาธุ 2 คือ วิน, เกม, และเดียร์ ในฐานะผู้ที่ช่วยสร้างระบบนี้ขึ้นมา จะยังคงพยายาม "เล่นระบบ" ต่อไป หรือ จะหาวิธีทำลาย "ระบบผูกขาด" ที่ค้ำยันด้วยการเมืองท้องถิ่นนี้ได้อย่างไร กับเดิมพันใหญ่ ที่เริ่มจากเพียงต้องการหาเงินใช้หนี้
สุดท้าย จะเห็นได้ว่า ซีรีส์เรื่อง “สาธุ ๒" ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของพระที่หลอกลวง หรือสตาร์ทอัพที่ใช้การตลาดแนวศรัทธา มาฉ้อฉล แต่เป็นการชำแหละ "กลไก" ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ทำให้กลโกง ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง และถูกกฎหมาย และอาจทำให้เราได้รู้ว่า ธุรกิจที่ผูกขาดด้วยอำนาจนั้น มีความเสถียรและอันตรายกว่าธุรกิจสตาร์ทอัพที่ผันผวนมากแค่ไหน ซึ่งบทสรุปอาจพบว่า เราทุกคนต่างก็เป็นเพียง หมาก ในเกมที่ระบบออกแบบไว้แล้วนั่นเอง
ที่มา : Netflix
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney